ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า โซเซียลมีเดีย หรือสื่อสังคมเข้ามามีบทบาทต่อสังคมไทยอย่างแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะการกระจายข้อมูลผ่านโลกโซเซียลมีเดีย กลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกถึงความเหมาะสมมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ตรวจสอบได้ยาก แต่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ยิ่งเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล การรักษาโรคต่างๆ เมื่อมีการโพสต์ในสังคมออนไลน์ จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ

เนื่องจากเกิดคำถามว่า สมควรหรือไม่กับการโพสต์ข้อมูลการรักษาพยาบาลของผู้ป่วย หรือผู้บาดเจ็บ ทั้งๆที่เจ้าตัวอาจไม่รู้เรื่อง และไม่อนุญาต!! เรื่องนี้มีตัวอย่างชัดเจนกรณีผู้บาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมือง มีการโพสต์รูปผู้ป่วยที่อยู่บนเตียงในโรงพยาบาลผ่านเครือข่ายเฟชบุ๊ค รวมไปถึงภาพผู้ป่วยที่ลงในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ หรือสื่อโทรทัศน์ ขณะเดียวกันยังมีบุคลากรทางการแพทย์โพสต์รูปภาพในช่วงการรักษาพยาบาล จนถูกต่อว่ากันทั่วโลกออนไลน์ก็มี  ซ้ำร้ายยังมีการนำข้อมูลการรักษาของผู้ป่วย อย่างผลการเอ็กซเรย์มาโพสต์กันอีก แต่ในบางกรณีก็มีการโพสต์เพื่อขอความช่วยเหลือ เช่น การขอรับบริจาคเลือด แต่ลงรูปภาพของผู้ป่วย เป็นต้น

เกิดคำถามว่าแล้วจุดไหนจึงจะเหมาะสม... เพราะแม้การโพสต์ข้อมูลทั้งรูปภาพหรือข้อความ จะเป็นสิทธิเสรีภาพในการสื่อสารอย่างหนึ่งที่ได้รับการรับรองในข้อ 19 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ แต่ใช่ว่าจะทำได้โดยปราศจากการควบคุม

นพ.อำพล จินดาวัฒนะ

เรื่องนี้ร้อนถึงคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ ของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(คสช.)ได้มีการประชุมหารือถึงปัญหาดังกล่าว  ที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) เมื่อไม่นานมานี้ โดย “นพ.อำพล จินดาวัฒนะ” เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เผยว่า ปัจจุบันเป็นยุคเทคโนโลยีการสื่อสาร โดยเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประชาชนมีสมาร์ทโฟน ที่สามารถถ่ายรูปและส่งรูปภาพหรือข้อความลงในสังคมออนไลน์มากมาย โดยข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลก็ถูกหยิบยกนำมาโพสต์ด้วย ปัญหาคือ การโพสต์ข้อมูลการรักษาพยาบาล หรือข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วยอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิ และยังผิดหลักมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)  สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550

 “ปัญหาคือ การเผยแพร่ข้อมูลของผู้ป่วย ทั้งอาการเจ็บป่วย รูปภาพผู้ป่วยผ่านโลกอินเตอร์เน็ต อาจมาจากความไม่รู้ ซึ่งอาจหลุดมาจากประชาชนเอง หรือจากบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งเจตนาและไม่เจตนา บ้างก็มีเจตนาดีต้องการช่วยเหลือผู้ป่วย อย่างกรณีการขอรับบริจาคเลือดหายาก แต่ทั้งหมดต้องพึงระวังในการโพสต์ข้อมูลเหล่านี้โดยที่ผู้ป่วยหรือญาติไม่อนุญาต เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และขัดต่อพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 7 ที่ระบุว่าข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยและอาจทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากบุคคลนั้นโดยตรง   และไม่ว่าในกรณีใดๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ เพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพของบุคคลไม่ได้”

นพ.อำพล กล่าวอีกว่า ปัญหาที่ต้องยอมรับคือ แม้จะมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยตามมาตรา 7 แห่งพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 แต่ก็ยังมีบุคคลที่ไม่ทราบและยังมีการโพสต์รูปภาพ ข้อมูลลักษณะนี้อยู่ คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อส่งเสริมการใช้สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ จึงได้ประชุมหารือถึงแนวทางแก้ปัญหา โดยสรุปว่า สช.ควรทำหน้าที่ในการให้ความรู้ประชาชน และสื่อมวลชนในรูปแบบต่างๆ ทั้งการให้ข่าว ให้ข้อมูล รวมไปถึงการให้ความรู้เรื่องนี้แทรกกับเวทีสัมมนาต่างๆของสช. แต่การจะทำหนังสือแจ้งไปยังเครือข่ายสุขภาพต่างๆ คงไม่ถึงขนาดนั้น เนื่องจากไม่มีอำนาจในการไปสั่ง แต่จะเป็นการประชาสัมพันธ์ แจ้งให้ทราบถึงกฎหมายนี้มากกว่า

อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีเจตนาดีในการโพสต์ข้อมูลเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย ก็ต้องระมัดระวัง เนื่องจาก หากมีการโพสต์รูปภาพ หรือข้อมูลส่วนตัวของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นเอดส์ ขาดแคลนเลือด ต้องการรับบริจาคด่วน หากไปโพสต์ลักษณะนี้ ถือว่าไม่เหมาะสมในการระบุโรค เข้าข่ายผิดมาตรา 7 ซึ่งหากญาติผู้ป่วย หรือผู้ป่วยต้องการฟ้องร้อง สามารถดำเนินการได้ โดยผู้ละเมิดจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สิ่งสำคัญคือ การโพสต์ข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย หรือญาติ  และการนำข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยมาเผยแพร่ต้องไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ถูกดูถูกเกลียดชัง มิเช่นนั้นจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทอีก ถ้าผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น แพทย์ พยาบาล นำข้อมูลของผู้ป่วยมาเปิดเผยแล้วเกิดความเสียหาย จะมีความผิดฐานเปิดเผยความลับที่ตนได้มาจากการประกอบวิชาชีพ

นอกจากนี้ การโพสต์ที่มีลักษณะเป็นการนำข้อมูลปลอม เท็จ หรือไม่เหมาะสม เช่นลามกอนาจาร ทั้งเผยแพร่เนื้อหา การเผยแพร่ภาพจากการตัดต่อ ดัดแปลง ทำให้ผู้ป่วยหรือครอบครัวเสื่อมเสีย เป็ฯการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการกระทำความผิดจากคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550  อีกทั้ง ในกรณีที่ผู้ป่วยหรือญาติไม่ต้องการให้เปิดเผยข้อมูล แต่หากว่าเป็นการเปิดเผยเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ เช่น ผู้ป่วยเกิดโรคติดต่อร้ายแรงที่อาจระบาดได้ อันนี้ยกเว้น แต่ต้องไม่เปิดเผยชื่อ หรือตัวตนของผู้ป่วยนั้นๆ

“ที่จะพบปัญหามากคือ บางกรณีมีบุคคลสำคัญที่มีสื่อมวลชนติดตามไปทำข่าว ต้องการไปเยี่ยมผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ โดยสื่อมวลชนได้ตามบุคคลนั้นไปด้วย และได้ถ่ายภาพของผู้ป่วยลงไปและเผยแพร่ต่อสื่อสาธารณะ เรื่องนี้ก็ต้องระมัดระวัง เพราะจะเป็นการละเมิดสิทธิผู้ป่วยเช่นกัน  ทั้งนี้ ทางที่ดีที่สุดทางโรงพยาบาลควรมีมาตรการห้ามสื่อมวลชนเข้าถ่ายภาพผู้ป่วยด้วย หรือหากจะถ่ายภาพอย่างไรต้องขออนุญาตก่อนเป็นสำคัญ  ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ผิดตามกฎหมาย แต่ในเรื่องของจรรยาบรรณ ศีลธรรม ความเหมาะสมก็เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงด้วย” นพ.อำพล กล่าวทิ้งท้าย

นอกจากนี้ เลขาธิการสช. ยังกล่าวว่า ไม่เพียงแต่มาตรา 7 ของพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ เท่านั้น   ยังมีร่างพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ของสำนักนายกรัฐมนตรี  ที่จะเป็นอีกกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิของผู้ป่วยได้  โดยเนื้อหาจะคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล รวมถึงประวัติสุขภาพต่างๆ ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวได้เสนอเข้ารัฐสภาเพื่อพิจารณาแล้ว แต่จากเหตุการณ์ทางการเมือง และมีการยุบสภา ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวตกไป

 ระหว่างนี้คงต้องฝากคนที่ชอบโพสต์ ชอบแชร์พึงระมัดระวังในการเผยแพร่ข้อมูลผู้ป่วย เนื่องจากอาจถูกฟ้องร้องตามกฎหมายได้