ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระแสความไม่ลงรอยกันของสองหน่วยงานยักษ์ใหญ่ในระบบสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ถึงกับมีข่าวแพร่ออกมาว่า พ่อบ้าน สธ. อย่าง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ถึงกับมีคำสั่งถึง สสจ.ทั่วประเทศห้ามเข้าร่วมสังฆกรรมการประชุมกับ สปสช. ผลออกมาอย่างไรใครจะอยู่ใครจะไป แต่กลุ่มคนที่โดนหางเลขจากงานนี้คงหนีไม่พ้นคนปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างแน่นอน เกมประลองอำนาจครั้งล่าสุดนี้ มีเสียงเตือนที่น่าสนใจจากผอ.รพ.ชุมชน ที่ระบุว่า “สธ. และ สปสช. ควรจะต้องมีการคุยกันในระดับผู้ใหญ่ การที่ผู้ใหญ่คุยกันไม่ได้ แล้วมาสั่งให้เด็กไม่ต้องมาคุยกัน มันไม่ถูกต้อง”

นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ 

นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา  เป็นอีกผู้หนึ่งที่กล้าสวนกระแสออกแสดงตนออกมา ด้วยการเข้าร่วมประชุมปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพและการจัดการ การเงินการคลังแนวใหม่ เพื่อรองรับการปฏิรูปประเทศไทย ที่จังหวัดสงขลา ที่ผ่านมา ในขณะที่มีผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนจำนวนมากไม่กล้าที่จะเข้าร่วมประชุม  หลังจากที่มีไลน์กรุ๊ปของบรรดาผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน ออกมาแจ้งเตือนว่าห้ามเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้

นายแพทย์สุภัทร ออกมาแสดงความคิดเห็นส่วนตนว่า  เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง สำหรับปัญหาเรื่องการจัดการต่างๆที่มีทัศนคติที่แตกต่างกันระหว่าง สธ. และ สปสช. ควรจะต้องมีการคุยกันในระดับผู้ใหญ่ การที่ผู้ใหญ่คุยกันไม่ได้ แล้วมาสั่งให้เด็กไม่ต้องมาคุยกัน มันไม่ถูกต้อง เพราะการคุยกันนั้นแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ

1.ระดับนโยบาย เมื่อคุยกันไม่ได้ก็ต้องว่ากันไป

2.ระดับปฏิบัติการ ในระดับนี้เมื่ออยู่หน้างานจะต้องมีการคุยกัน ประสานกัน ระดับปฏิบัติการจะไม่ให้ประสานงานกันเลย มันทำไม่ได้ มันน่าเกลียด และที่สุดแล้วมีผลกระทบกับการบริการประชาชน

“ในเรื่องดังกล่าว บอกได้เลยว่ารับไม่ได้ มองว่า สธ.ทำไม่ถูกต้อง อันนี้ชัดเจนอยู่ข้าง สปสช.” ผอ.รพ.จะนะ  กล่าว

ทั้งนี้ นายแพทย์สุภัทร กล่าวว่า คิดว่าระดับล่างต้องคุยกัน ระดับบนจะรบกันแค่ไหนเราไม่ว่ากันเถียงกันไม่เสร็จเราไม่ว่ากัน จะบอยคอตระดับบนเราก็ไม่ว่ากัน แต่จะให้ระดับล่างเดินเข้าสู่ความขัดแย้งนั้นไม่ใช่ ตนจึงเลือกเดินเข้าสู่ที่ประชุมในส่วนของ ผู้อำนวยการ รพ.ชุมชน ส่วนคนที่ไม่มาคิดว่าเขาน่าจะไม่อยากมีปัญหากับ สสจ.ในพื้นที่ ขณะเดียวกัน สสจ.น่าจะเกรงใจปลัดด้วย

ในวันนี้ตนเชื่อว่า ปลัดสธ.นั้นไม่ได้รับใบสั่งจากใครอย่างแน่นอน เพราะวันนี้ปลัดกับรัฐมนตรีรบกันแทบตาย จากเดิมที่เคยเดินตามกัน ตอนนั้นท่านปลัดก็โดนคนว่าเยอะเหมือนกัน แต่ก็มีคำถามออกมาว่า ทำไมช่วงนี้ปลัดท่านฟิตจัง หรือว่าเป็นเพราะท่านเลือกข้างจึงทำให้ท่าน strong (มีกำลัง,มีพลัง)  การเลือกข้างทำให้ท่านเข้มแข็ง มีภาพลักษณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากลูกน้องในกระทรวง จากมวลมหาประชาน  ท่านเลยใช้ความแข็งแรง มาสร้างอำนาจให้กับ สธ. ซึ่งก่อนหน้านี้ สธ.สูญเสียอำนาจไปพอสมควร ตั้งแต่มี สปสช.ขึ้นมา

“10 ปี ของการมีสปสช. ทำให้ สธ.ลดบทบาทลงไปพอสมควร  โดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรงบประมาณ ถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผู้นำสูงสุดอยากกระชับอำนาจให้ สธ.เข้มแข็งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราก็เข้าใจปลัดในส่วนตรงนี้นะ ผลในวันนี้ไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป็นการเดินเกมอำนาจของ 2 เสือ เราจะรู้อีกทีเมื่อม๊อบกำนันสุเทพเสร็จแล้ว วันนั้นเราจะถึงจะรู้ ”

นายแพทย์สุภัทร กล่าวว่า การยึดอำนาจในครั้งนี้ เป็นเหมือนการถอยหลังเข้าคลองอย่างแน่นอน เพราะว่าระบบที่ดีต้องมีการถ่วงดุล ไม่เช่นนั้นก็เป็นระบบเผด็จการรัฐสภาเหมือนกรณีรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งระบบปัจจุบันนั้นดีแล้ว เป็นการถ่วงดุลระหว่าง สธ.และ สปสช.ซึ่งระบบนี้ระดับล่างจะได้ประโยชน์ ซึ่งหากมีการยุบ สปสช.เขต .ที่ สธ.มองว่าทำงานซ้ำซ้อนกันนั้น เรื่องการทำงานจะมีความยุ่งยากมาก เพราะไม่มีคนกลางคอยประสาน

ที่ผ่านมา คนทำงานอย่างหมอในชนบท ไม่เคยไว้ใจ สธ.มานานแล้ว เพราะระบบการจัดสรรงบของ สธ.เป็นระบบไม้ไอติม เลียกันไปเรื่อย กว่าจะถึงสถานีอนามัยอาจจะเหลือแต่ไม้ไอติมแล้ว  ซึ่งมันเป็นอย่างนี้มากนานกว่า 10 ปี และการเอางบประมาณไปไว้ที่เขตอย่างเดียวมีหลักประกันอะไรว่า จะไม่มีการตกแต่งตัวเลข และในขณะเดียวกันจะให้ สปสช.มีหน้าที่แค่เสมียนส่งเงิน แล้วเราจะมี สปสช.ไว้ทำไม

นอกจากนี้ ผอ.รพ.จะนะ ยังได้แสดงทัศนคติเรื่องของระบบราชการที่ทุกวันนี้ไม่ก้าวหน้า คือ เรื่องของการโยกย้าย  ระบบราชการไทยถูกทำลายและไม่ก้าวหน้าเพราะการมีระบบโยกย้าย แต่หากมองมาดูที่ สปสช.ที่ไม่มีระบบการโยกย้าย ทำให้การดำเนินงานเป็นไปได้ดีกว่าระบบที่มีการโยกย้าย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเราจะนายผู้บริหารที่มีลักษณะ “เฝ้าสนามบินเก่ง ลิ้นยาว กระเป๋าหนัก”

“การกระจายอำนาจที่สำคัญ คือ การตัดขั้นตอนการวิ่งเข้าสู่อำนาจ เพราะผู้บริหารจะกล้าที่ปฏิเสธคำสั่งที่ไร้เหตุผล และกล้าตัดสินใจภายใต้ผลประโยชน์ของพื้นที่จริงๆ” นายแพทย์สุภัทร กล่าวสรุป