ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

แม้ว่า “สำเริง จงกล” จะทำงานด้านสาธารณสุขเป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้ว  ผ่านร้อนผ่าหนาวมามาก ประสบการณ์ที่มีทำให้เขารู้ว่า การที่จะเป็นหมออนามัยที่ดีได้ ต้องมีความจริงจัง จริงใจ ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก  ตำแหน่ง หน้าที่ เป็นเพียงหัวโขนอันจอมปลอมวันหนึ่งได้มา สักวันหนึ่งก็ต้องจากไป
 

นายสำเริง จงกล 

นายสำเริง จงกล ประธานชมรมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กระแสข่าวเรื่องหมออนามัยหน้าจอ ตนยอมรับว่า ในปัจจุบันเป็นเรื่องจริง ซึ่งคนทำงานในพื้นที่ต้องการที่จะให้หมออนามัยทำงานด้านชุมชนเหมือนเดิม จนกลายเป็นคำกล่าวที่ว่า "เอาหมอหน้าจอคืนไป เอาหมออนามัยคืนมา"  ทั้งนี้ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ต้องเป็นการทำงานเชิงรุก หากมัวแต่ทำงานเอกสาร งานภาคประชาชนจะหายไป

ในปัจจุบันมีหมออนามัยมากกว่า 50,000 คนทั่วประเทศ ในการทำงานของหมอนามัย จะมีเครือข่ายที่ให้ความร่วมมืออยู่หลายกลุ่ม อาทิ อสม. ที่ทำหน้าที่ช่วยประสานงานกับชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาล รพ.สต. เป็นหน่วยให้ความรู้ทางด้านวิชาการ ท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณบางส่วน ทั้งนี้การทำงานของหมออนามัยมุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนด้านสุขภาวะส่วนบุคคล สร้างองค์ความรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค และเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตนเองให้ได้ประโยชน์ด้านสุขภาพ  เป็นการทำงานตามแนวทางสร้างเสริมสุขภาพ แบบ"สร้างนำซ่อม" 

ขณะเดียวกัน งบประมาณ ยังเป็นอุปสรรคที่สำคัญของการทำงานของหมออนามัย ตนมองว่าทุกวันนี้งบประมาณที่มี เป็นการวางหรือให้ไว้ไม่ตรงจุด ในส่วนตัวมองว่า งบการสร้างเสริมสุขภาพควรจะแยกออกจากงบประมาณด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนการทำงานของระดับปฏิบัติการ  ที่จะใช้งบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพได้ตรงวัตถุประสงค์ และคุ้มค่า

สำหรับคนที่จะเข้ามาทำงานเป็นหมออนามัยนั้น สิ่งที่จะต้องมีคือ  ควรจะมีความจริงจัง และจริงใจต่อการทำงาน มองถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักมากกว่าประโยชน์ของตนเอง

นอกจากนี้ นายสำเริง ยังได้กล่าวถึงแนวทางการงานของตนเองว่า ตนจะคอยติดตามการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิดที่สุด มีการให้ความดีความชอบ โดยยึดหลักความเป็นธรรม ซึ่งในการทำงานทุกอย่างจะต้องมีการให้คุณและโทษ ในเวลาเดียวกันเราต้องพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษา รวมทั้งสนับสนุนการทำงานของผู้ร่วมงานทุกคน โดยจะไม่มีเรื่องของการเมืองมายุ่งเกี่ยว ซึ่งหากเราทำงานแบบไม่เลือกข้าง เราจะไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประธานชมรมสาธารณสุขฯ ระบุว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ค่อยมีผลกระทบต่อหมออนามัยมากนัก ขณะเดียวกันหมออนามัยส่วนมากจะไม่ค่อยมีการต่อต้านนโยบายของผู้บริหาร อะไรก็ตามที่เป็นนโยบายที่มีผลดีต่อประชาชนเราก็ควรจะทำตาม

ส่วนที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่มีทั้งเห็นและไม่เห็นด้วยนั้น ตนมองว่า อาจเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนกัน ในสภาวะที่ไร้รอยต่อเช่นนี้ ทั้งสองหน่วยงานควรจะหันหน้าปรึกษา เพื่อหาช่องทางเชื่อมกับการทำงานของพื้นที่ เพื่อให้การทำงานในพื้นที่ต่างๆขับเคลื่อนไปได้ ไม่มีสะดุด

"อยากจะฝากไปถึงผู้บริหารทุกท่านว่า ควรจะลดทิฐิลงบ้าง ให้คิดว่าสักวันหนึ่งเราก็ต้องไป ควรมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน อย่าไปหลงกับหัวโขนที่ได้มา เพราะสิ่งเหล่านั้นคือ สิ่งจอมปลอม สักวันหนึ่งก็หลุดหายไป ทางที่ดีควรจะระดมความคิดกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งตรงกับแนวทางการดำเนินงานที่ว่า จะทำงานก็ทำให้ถึงที่สุด เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร และประชาชนมากที่สุดเช่นกัน ไม่ควรนึกถึงประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง" นายสำเริง กล่าว