ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อหิวาตกโรคเป็นโรคระบาดประจำถิ่นของประเทศในทวีปอาเซียและทวีปอินเดีย โดยเฉพาะในลุ่มแม่น้ำคงคา ที่เป็นแม่น้ำสายหลักในการดำรงชีวิต ก่อให้การระบาดไปสู่ภูมิภาคอื่นๆของโลก ตามเส้นทางค้าขายทั้งทางบกและทางเรือ  ซึ่งการระบาดครั้งใหญ่ๆ ในโลก แบ่งได้เป็น 7 ครั้ง ได้แก่

การระบาดครั้งที่ 1 พ.ศ. 2359-2369 ถือว่าเป็นการระบาดใหญ่ครั้งแรกในโลก โดยเริ่มจากเบงกอล แพร่ขยายไปสู่ทวีปอินเดีย จีน และคาบทะเลแคสเปียน

การระบาดครั้งที่ 2 พ.ศ. 2372- 2394 เป็นการแพร่ระบาดในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ในปีพ.ศ. 2374 มีผู้เสียชีวิตที่มหานครลอนดอนด้วยอหิวาตกโรคสูงถึง 6,536 คน ที่กรุงปารีสมีผู้เสีย ชีวิตประมาณ 20,000 คน การระบาดครั้งนี้แพร่กระจายขึ้นไปจนถึงประเทศรัสเซีย ข้ามไประบาดถึงเควเบ็ค ออนตาริโอ แคนาดา และนครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และข้ามประเทศไประบาดถึงฝั่งแปซิฟิคของสหรัฐ ในปีพ.ศ. 2377

การระบาดครั้งที่ 3 พ.ศ. 2395 - 2403 การระบาดครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเกิดในประเทศรัสเซีย มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึงล้านคน ในปีพ.ศ. 2397 เกิดการระบาดของอหิวาตกโรคในนครชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา ทำให้มีผู้เสียชีวิต ประมาณ 3,300 คน

การระบาดครั้งที่ 4 พ.ศ. 2406 – 2418 ส่วนใหญ่เป็นการระบาดในทวีปยุโรป และแอฟริกา โดยพ.ศ. 2409 มีการระบาดหนักที่ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ และมหานครลอนดอน ที่มีการระบาดกระจายไปหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในย่าน อีสท์ เอ็นด์ (East End) ทำให้มีคนตายถึง 5,596 คน และในกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ มีผู้เสียชีวิตประมาณ กว่า 21,000 คน

การระบาดครั้งที่ 5 พ.ศ. 2424 – 2439 มีการระบาดใหญ่ที่นครฮัมบวร์ก เยอรมนี พ.ศ. 2435 ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 8,600 คน ซึ่งการระบาดครั้งนี้ นับว่าเป็นการระบาดที่รุนแรงครั้งสุดท้ายในทวีปยุโรป

การระบาดครั้งที่ 6 พ.ศ. 2442 – 2466 การระบาดครั้งนี้จะเกิดขึ้นในประเทศรัสเซียและประเทศในกลุ่มอาณาจักรอ็อตโตมันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

การระบาดครั้งที่ 7 พ.ศ. 2504 – 2513 การระบาดครั้งนี้เริ่มที่เมืองสุละเวลี อินโดนีเซีย แพร่ระบาดไปถึงบังคลาเทศ เข้าสู่อินเดีย ในปีพ.ศ.2507 และสหภาพโซเวียต ในปีพ.ศ.2509  ในขณะเดียวกันเกิดการระบาดในญี่ปุ่น ประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิคใต้ ประเทศในแอฟริกาเหนือ และแพร่ไปยังประเทศอิตาลี ในปี พ.ศ.2515 ซึ่งหลังจากนั้นไม่มีรายงานการระบาดที่รุนแรงเกิดขึ้น

การระบาดในประเทศไทย

แร้งวัดสระเกษช่วงโรคอหิวาตกโรค ระบาดปี 2434 (ภาพจากหนังสือระบาดบันลือโลก)

การระบาดของอหิวาตกโรค หรือ “โรคห่า” ในไทยนั้น มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้แก่

สมัยรัชกาลที่ 2 จากบันทึกของ “เจ้าพระยาทิพากรวงศ์” เล่าถึงการระบาดรุนแรงของอหิวาตกโรคครั้งแรกไว้ว่า ในปี พ.ศ.2363  ที่มีการระบาดจากอินเดีย  เข้ามาไทย ผ่านทางปีนัง และหัวเมืองฝ่ายตะวันตก เข้ามาถึงสมุทรปราการและพระนคร ระบาด 2 สัปดาห์ ทำให้มีคนตายจำนวนมาก จนเผาศพไม่ทัน กองอยู่ในวัดต่างๆ ได้แก่ วัดสระเกษ วัดบางลำภู วัดบพิตรพิมุข วัดประทุมคงคาและวัดอื่น ถนนหนทางเกลื่อนกลาดเต็มไปด้วยซากศพ ประชาชนอพยพหนีออกจากเมืองด้วยความกลัว พระสงฆ์ทิ้งวัด รัชกาลที่ 2  โปรดฯ ให้ตั้งพิธีขับไล่โรคนี้ขึ้น เรียกว่า "พิธีอาพาธพินาศ" จัดขึ้นที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีการยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดคืน อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมสารีริกธาตุออกแห่และโปรยพระพุทธมนต์ตลอดทาง การระบาดครั้งนี้มีคนตายในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียงประมาณ 30,000 คน และมีการระบาดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2365  ในกรุงเทพฯ แต่ไม่ร้ายแรงเท่าการระบาดปี 2363  รัชกาลที่ 2 ทรงประกาศให้ราษฎรหยุดงานทั้งปวง ทำบุญให้ทานและห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีกำหนด 7 วันในการระบาดคราวนี้มีพระเจ้าน้องยาเธอสิ้นพระชนม์ด้วยอหิวาตกโรคพระองค์หนึ่ง

สมัยรัชกาลที่ 3 เกิดอหิวาตกโรคระบาดมากในปี พ.ศ. 2392 เรียกกันว่า “ห่าลงปีระกา” ซึ่งตรงกับการระบาดทั่วโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มจากอินเดียระบาดไปยุโรป อเมริกา และระบาดเข้าไทยผ่านปีนัง ปัตตานี สงขลา ระบาดทางเรือเข้าสมุทรปราการ กรุงเทพฯ และแพร่ระบาดไปยังเมืองต่างๆได้แก่ ปทุมธานี พิษณุโลก และอ่างศิลา ชลบุรี การระบาดครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 40,000 คน รัชกาลที่ 4 หรือเจ้าฟ้ามงกุฏฯ ในขณะนั้น ดำรงเพศบรรพชิต ทรงบัญชาให้ 3 วัด คือ วัดสระเกศ วัดบางลำพู (วัดสังเวชวิศยาราม) และวัดตีนเลน (วัดเชิงเลน หรือวัดบพิตรพิมุข) เป็นสถานที่สำหรับเผาศพ ซึ่งมีศพที่เผาไม่ทันถูกกองสุมกันอยู่ตามวัด โดยเฉพาะวัดสระเกศมีศพมากที่สุด ทำให้ฝูงแร้งแห่ไปลงกินซากศพ จนตามลานวัด บนต้นไม้  บนกำแพง และหลังคากุฏิเต็มไปด้วยแร้ง  แม้เจ้าหน้าที่จะถือไม้คอยไล่ก็ไม่อาจกั้นฝูงแร้งที่จ้องเข้ามารุมทึ้งซากศพอย่างหิวกระหาย  ทำให้พฤติกรรมของ “แร้งวัดสระเกศ” เป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่ว

สมัยรัชกาลที่ 4 โรคได้ระบาดขึ้นอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2403 ซึ่งตรงกับการระบาดทั่วโลกครั้งที่ 3 โดยเกิดขึ้นที่เมืองตากก่อน แล้วระบาดมาถึงกรุงเทพฯ ซึ่งการระบาดครั้งนี้ไม่รุนแรง

แพทย์-นักศึกษาแพทย์ออกประชาสัมพันธ์และฉีดวัคซีน ให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามลำคลอง (ภาพจากหนังสือระบาดบันลือโลก)

สมัยรัชกาลที่ 5 เกิดการระบาดในปี พ.ศ. 2416 ตรงกับการระบาดทั่วโลกครั้งที่ 4 การระบาดผ่านมาทางมลายู เข้าสู่ไทย ทำให้รัชกาลที่ 5 โปรดให้มีการจัดการและป้องกันอหิวาตกโรคตามหลักวิชาการขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยการจัดตั้งกรมพยาบาลจัดการสุขาภิบาลและการประปาขึ้น และเมื่ออหิวาตกโรคระบาดหนักในปีมะเส็ง พ.ศ. 2424 ทรงโปรดให้จัดตั้งโรงรักษาคนเจ็บอหิวาตกโรคขึ้นในกรุงเทพฯ และจากการระบาดของอหิวาตกโรคที่มีลักษณะการระบาดมาจากทางภาคใต้ ทำให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขณะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทรงดำริให้ตั้งสถานกักโรคขึ้นตามเมืองท่าในปักษ์ใต้ ตกลงออกเป็นพระราชบัญญัติระงับโรคระบาด ที่หัวเมืองบังคับให้ตั้งด่านตรวจโรคและชักธงเหลือง  หากเมืองใดเกิดโรคอหิวาตกโรคให้ชักธงเหลืองขึ้นที่ปากอ่าวหรือทางร่วมเพื่อให้ราษฎรได้ทราบ

หลังจากนั้นมา มีการระบาดใหญ่  อีก 5 ครั้ง ได้แก่

การระบาดครั้งที่ 1 (ตั้งแต่ พ.ศ.2461- 2463) เกิดขึ้นที่จังหวัดตาก มาจากประเทศพม่า ลุกลามลงมาทางล่างตามลำน้ำปิงและแม่น้ำเจ้าพระยา มีการระบาดไปยังจังหวัดใกล้เคียงทางเหนือถึงจังหวัดเชียงใหม่ ทางใต้ถึงจังหวัดปัตตานี ระนอง ทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงอุบลราชธานี ระบาดรวม 51 จังหวัด มีคนตาย 13,918 คน

การระบาดครั้งที่ 2 (พ.ศ.2468-2472) เกิดขึ้นในท้องที่อำเภอป้อมปราบและปทุมวัน แล้วระบาดไปในพระนคร-ธนบุรี มีคนตาย 14,902 คน เกิดจากมีคนป่วยที่เดินทางมากับเรือที่มาจาก ประเทศจีน ถูกกักตรวจที่ด่านกักโรค มีผู้โดยสารบางคนหนีขึ้นบกทำให้เกิดการระบาดขึ้น มีคนป่วยจำนวนมากจนมีการตั้งโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยด้วยอหิวาตกโรคขึ้นที่วังเก่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ที่ วงเวียน 22 กรกฎา หลังวัดเทพศิรินทร์และที่สุขศาลาบางรัก

การระบาดครั้งที่ 3 (พ.ศ.2478-2480) ครั้งนี้เกิดที่อำเภอวังกะ กาญจนบุรี ระบาดมาจากประเทศพม่า แพร่กระจายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ท่าจีน เช่น ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี แพร่เข้ามายังพระนครธนบุรี และระบาดไปตามจังหวัดต่าง ๆ ใน 40 จังหวัด มีคนตาย 10,005 คน ทำให้มีการเกณฑ์นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 จากศิริราช มาช่วยฉีดวัคซีนตามสถานีรถไฟและท่าเรือต่าง ๆ

การระบาดครั้งที่ 4 (พ.ศ.2486-2490) เริ่มที่กิ่งอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เกิดจากเชลยศึกพม่าที่ทหารญี่ปุ่นเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายมรณะจากบ้านโป่ง ผ่านกาญจนบุรีเพื่อเข้าสู่ประเทศพม่า ระบาดจากต้นแม่น้ำแม่กลองไปตามจังหวัดต่าง ๆ โดยทางน้ำ ได้แก่ ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และพระนคร ระบาดในท้องที่ 50 จังหวัด มีคน ตาย 13,036 คน

การระบาดครั้งที่ 5 (พ.ศ.2501-2502) เริ่มในท้องที่อำเภอราษฎร์บูรณะ ธนบุรี ระบาดในจังหวัดธนบุรี พระนครและจังหวัดอื่น ๆในภาคกลาง ที่มีเขตติดต่อกับธนบุรีเป็นลำดับ อันเนื่องมาจากการคมนาคมที่สะดวกทำให้โรคระบาดไปสู่ภาคใต้ถึงจังหวัดสุราษฎร์ฯ ภาคเหนือถึงจังหวัดตาก และบางจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 38 จังหวัด มีคนตาย 2,372 คน หลังจากการระบาดครั้งนี้แล้ว อหิวาตกโรคไม่ได้สาบสูญไปจากไทย ยังคงพบผู้ป่วยอยู่ประปราย และไทยได้มีการยกเลิกการรายงานโรคอหิวาตกโรคในปี 2532 โดยเปลื่ยนชื่อเป็น โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง

เอกสารอ้างอิง

1. สำนักระบาดวิทยา [Online], สืบค้นเมื่อ 17 สิงหาคม 2557, จาก http://www.boe.moph.go.th/fact/Cholera.htm

2. นภนาท อนุพงศพัฒน์. โรคระบาดในสังคมไทย จากอดีตจนเริ่มเขาสูยุคสมัยใหม่. นิตยสารสุขศาลา ปที่ 2 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม- กันยายน 2552

3. ประเสริฐ ทองเจริญ.ระบาดบันลือโลก เล่ม 7. โรงพิมพ์อักษรสมัย (1999) มีนาคม 2553

4. อหิวาตกโรค. [Online], สืบค้นเมื่อ 16 สิงหาคม 2557, จาก http://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2553/3071/9/233045_ch1.pdf

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

กำเนิดและสิ้นสุดโรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 1 กาฬโรค