ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นพ.วชิระ เผย สธ.เตรียมงบ 1,000 ล้านบาท ในปี 59 ช่วยเหลือรพ.ชายแดน แจงรพซในจ.น่าน ถูกเรียกเงินคืนจากสปสช.ทุกปี อ้างผลงานไม่พอ ส่งผลกระทบการให้บริการประชาชน สร้างความลำบากให้รพ. ด้าน นพ.สสจ.น่าน แจง รพ.ในจ.น่านมีปัญหาขาดทุนมาตลอด แต่ปรับระบบ พี่ช่วยน้อง จัดระบบการเงินการคลังรูปแบบใหม่ ลดรายจ่าย ปรับรูปแบบกระจายเงินตามความต้องการรพ. ช่วยแก้ปัญหาวิกฤตรพ.ขาดทุนได้ แต่ไม่มั่นใจสถานะการเงินรพ.ในจ.น่านจะคงอยู่ระดับดีได้อีกนานหรือไม่ เหตุการจัดสรรเงินบัตรทองยังมีวิธีการหลายเรื่องที่ไม่เหมาะสม

วันนี้ (27 มกราคม 2558) นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตาม นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมสภาพปัญหา รพ.ตามแนวชายแดนและการดำเนินงานพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ที่ จ.น่าน พร้อมให้สัมภาษณ์ภายหลัง ว่า จากการตรวจเยี่ยมสภาพปัญหาต่างๆ ของรพ.ใน จ.น่าน พบปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเงินการคลังของหน่วยบริการสาธารณสุข จ.น่าน คือ ประชากรน้อย ต้นทุนการจัดบริการสูง โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยต่างชาติที่ติดชายแดน เช่น รพ.บ่อเกลือ, รพ.ทุ่งช้าง, รพ.เฉลิมพระเกียรติ  มีค่ารักษาพยาบาลของชาวลาวสะสมตั้งแต่ปี พ.ศ.2538-2557 จำนวน 13,566 ราย เป็นค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายฟรีสูงถึง 107,521,810 บาท

รวมทั้งพื้นที่บางแห่งมีความทุรกันดารมาก เช่น รพ.บ่อเกลือ แพทย์และพยาบาลต้องเดินทางเท้าผ่านภูเขาเป็นระยะเวลา 4 ชั่วโมงกว่าจะเข้าถึงหมู่บ้าน เพื่อให้บริการประชาชน แต่ปัญหาที่สำคัญต่อระบบการเงินการคลังของ รพ.ดังกล่าว คือ การเรียกเงินคืนโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ในแต่ละปี โดยอ้างว่าผลงานไม่เพียงพอ เป็นการสร้างความลำบากให้หน่วยบริการสาธารณสุขดังกล่าวต่อการจัดการบริการที่ดีมีคุณภาพสู่ประชาชนและเกิดภาวะขาดทุน

ด้วยเหตุนี้ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เตรียมแผนการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและบริบทของพื้นที่อย่างจริงจัง โดยจัดเตรียมงบประมาณไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ในปี 2559 เพื่อใช้ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยตามแนวชายแดนพื้นที่ทุรกันดาร เช่น บนพื้นที่สูง พื้นที่เกาะแก่ง เป็นต้น รวมทั้งเตรียมสรุปปัญหาและเพื่อให้เขตสุขภาพดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มกราคม 2558 นี้  

นพ.ปิยะ ศิริลักษณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน กล่าวว่า สถานการณ์การเงินการคลังของ รพ. ใน จ.น่าน ตั้งแต่ ปี 2554 เป็นต้นมา ประสบภาวะวิกฤต รพ.ขาดทุนมาตลอด จนกระทั่งปี 2557หน่วยบริการ จ.น่านได้ร่วมกันบริหารจัดการระบบเงินการคลังรูปแบบใหม่ เพื่อให้พ้นวิกฤต รพ.ขาดทุน โดยคำนึงถึงบริบทพื้นที่เป็นหลัก เช่น กิจกรรมที่ต้องดูแลผู้ป่วยต่อคนในแต่ละบริบทพื้นที่ ไม่ใช่ยึดค่ารายหัวในการรักษาพยาบาล ซึ่งมีแนวทางทำงานทั้งในระดับจังหวัดและระดับเครือข่าย เช่น ระดับจังหวัด ใช้รูปแบบ “พี่ช่วยน้อง” รพ.ใหญ่ช่วย รพ.เล็ก โดยจะมีการกำกับติดตามรายหน่วยบริการทุกเดือน ให้หน่วยบริการทุกแห่งเข้าใจสถานะการเงินร่วมกัน ต้องร่วมคิดรูปแบบการกระจายเงิน การลดรายจ่าย เพื่อปรับเกลี่ยเงินให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละแห่ง และให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น รวมทั้งการที่พี่ยกหนี้ให้น้องด้วย

สำหรับระดับเครือข่าย มีการทำความร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และ สถานบริการสาธารณสุขชุมชน ใน จ.น่าน เพื่อปรับประสิทธิภาพการเงินการคลังของทุกข่ายบริการ ให้รพ.แม่ข่ายจัดทำแผนประมาณรายได้และควบคุมค่าใช้จ่ายให้เกิดสมดุล และลดค่าใช่จ่าย โดยเฉพาะค่ายา เวชภัณฑ์มิใช่ยา วัสดุวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาตรการที่ดำเนินการเป็นพิเศษอีกเรื่องที่สำคัญ การจัดซื้อยา เวชภัณฑ์มิใช่ยา LAB ร่วมกันทั้งจังหวัดเพื่อให้ได้ยาตัวเดียวกันทั้งจังหวัด โดยจัดซื้อตามระเบียบพัสดุวิธีประกวดราคา 

ที่สำคัญเขตบริการสุขภาพที่ 1 โดยท่านผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรเงินมาช่วยเหลือแก่จ.น่านจำนวนหนึ่งทำให้จ.น่านสามารถแก้ไขภาวะวิกฤติได้สำเร็จ จากนี้หน่วยบริการสาธารณสุขจ.น่าน จะใช้แนวทางที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาวิกฤตรพ.ขาดทุนนี้ต่อไป

นพ.ปิยะ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีรพ.ที่สามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้ดี ก็คือ รพ.ท่าวังผา เนื่องจากมีกระบวนการคิดที่ชัดเจน มีกรอบการทำงานครบถ้วนและครอบคลุมทุกขั้นตอน ทั้งเรื่องผู้นำ ทิศทาง นโยบาย การเรียนรู้ การดูแลประชาชน แพทย์และพยาบาลที่พร้อมให้บริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ และการพัฒนากระบวนการทำงานจนถึงชุมชน จนเกิดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ ทำให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจ เช่น การลดจำนวนผู้ป่วยนอนค้างคืนที่รพ.และร่วมมือกับชุมชนเพื่อเพิ่มกระบวนการดูแลครอบครัวในชุมชนโดยแพทย์และพยาบาล

ทั้งนี้เป็นระบบการจัดบริการร่วมกันของรพ.ศูนย์ รพ.ชุมชน และรพ.สต.ร่วมกันทุกฝ่าย โดยใช้คน วัสดุอุปกรณ์ และดูแลฐานการเงินร่วมกัน ให้หน่วยบริการทุกแห่งรู้สถานะการเงินร่วมกัน รวมทั้งการใช้ยาร่วมกันทุกตัวกับรพ.ศูนย์ นอกจากนี้ยังจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชนสหเผ่าพันธุ์ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนต่างเผ่าพันธุ์และการอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสุขและความสงบ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่จ.น่านได้ดำเนินการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพเต็มที่ แต่ด้วยการจัดสรรเงิน UC ที่อาจยังมีวิธีการหลายเรื่องที่ยังไม่เหมาะสมเท่าที่ควร จึงเกิดความไม่มั่นใจว่า สถานะการเงินการคลังที่ของหน่วยบริการในจังหวัดน่านจะยังคงอยู่ในระดับดีได้ต่อไปได้นานเพียงใด และจะสามารถดูแลประชาชนได้อย่างเต็มที่ตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่