ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข แถลงผลงานรอบ 6 เดือนมีความก้าวหน้า ตอบสนองคนเมือง ชนบท ผู้ป่วยเรื้อรัง โรครุนแรง อาทิ มะเร็ง หัวใจ ไตวาย ได้รับบริการใกล้บ้าน สร้างทีมหมอครอบครัวทะลุเป้าทั่วประเทศมี 50,000 ทีม มอบบริการจากโรงพยาบาลลงถึงบ้านคนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ได้ถึง 2 ใน 3 ของเป้าหมาย ชี้เป็นนโยบายที่คาดหวังและประสบผลสำเร็จแล้ว ผลิตยารักษาลดความดัน ยาลดไขมัน ยารักษาจิตเวชได้เอง และมีข่าวดีคนผมร่วงจะได้ใช้ยาเม็ดรักษาในอีก 6 เดือน ส่วนโรคมะเร็งจะมีตำรับยาไทยรักษา

วันนี้ (24 เมษายน 2558) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมกันแถลงข่าว ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ 12 กันยายน 2557 - 12 มีนาคม 2558 ว่า ผลงานมีความก้าวหน้าเป็นที่พอใจ เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและนโยบายในการยกระดับคุณภาพบริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน เข้าถึงบริการใกล้บ้าน

ศ.นพ.รัชตะ กล่าวต่อว่า งานนโยบายที่คาดหวังและประสบความสำเร็จแล้ว คือการสร้างทีมหมอครอบครัว ซึ่งเป็นการนำบริการทุกมิติของโรงพยาบาลทุกระดับ และความร่วมมือจากองค์กรในพื้นที่ชุมชน ลงไปถึงครอบครัวของประชาชนโดยตรง ในปีแรกตั้งเป้าหมายดูแล 3 กลุ่มที่ต้องพึ่งพิง คือผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งมี 2 ล้านคน โดยรอบ 6 เดือนแรก สามารถตั้งทีมหมอครอบครัวได้ 50,000 ทีมในทุกจังหวัด ทะลุเป้าที่กำหนดไว้ 30,000 ทีม ผลการให้บริการคืบหน้าเป็นอย่างมาก สามารถให้การดูแลได้กว่า 1.2 ล้านคน หรือ 2 ใน 3 ของเป้าหมาย เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมลงได้เป็นอย่างดี

นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ทีมหมอครอบครัว เป็นบริการประชาชนรูปแบบใหม่ ญาติสามารถปรึกษาทางโทรศัพท์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผลจากการดูแลประชาชน 3 กลุ่มดังกล่าว จะเกิดผลดีใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ลดความแออัดของโรงพยาบาลในอนาคตได้อย่างชัดเจน 2.คุณภาพชีวิตและสุขอนามัยของผู้ป่วยดีขึ้น 3.การไปโรงพยาบาลน้อยลง และ4.แบ่งเบาภาระญาติที่ดูแล ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น มั่นใจว่าระบบของทีมหมอครอบครัวนี้ จะรองรับการเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยได้อย่างดี

สำหรับความคืบหน้าการดำเนินงานใน 3 ด้าน มีดังนี้ การดูแลสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันควบคุมโรคตลอดช่วงอายุทุกกลุ่มวัย ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต อาทิ การให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีปีละ 700,000 กว่าคน กินยาเม็ดเสริมไอโอดีนเพื่อพัฒนาสมองเด็ก การตรวจและส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิดจนถึง 5 ขวบทุกคน การลดปัญหาแม่วัยรุ่น ซึ่งพบปีละประมาณ 130,000 คน และป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำครั้งที่ 2 ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 10 ขยายบริการการรักษาผู้ป่วยซึมเศร้าซึ่งคาดว่ามีประมาณ 1.5 ล้านไปที่โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง ป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตาย ในส่วนของผู้สูงอายุ ได้รับบริการผ่าตัดตาต้อกระจก ใส่ฟันเทียม ฝังรากฟันเทียม คนพิการได้รับการดูแลใส่ขาเทียม และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ได้ตั้งทีมประเมินสถานการณ์ระดับเขตและระดับจังหวัด เพิ่มความเข้มแข็งการควบคุมโรคติดต่ออันตราย เช่น โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า โรคอีโบลา สามารถตรวจจับสัญญาณโรคและควบคุมป้องกันโรคได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งได้ให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนตั้งแต่รู้ผลการตรวจเลือด ฟรี จะทำให้ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ลดการทำลายภูมิต้านทานในร่างกาย โรคแทรกซ้อน และการแพร่กระจายเชื้อ เพื่อบรรลุเป้าหมายลดเอดส์ในไทยให้เป็นศูนย์เร็วที่สุด

การขยายบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมีขีดความสามารถสูง ไปยังเขตสุขภาพทุกเขต ผู้ป่วยโรครุนแรง เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง ไตวายระยะสุดท้าย ได้รับการดูแลรักษาใกล้บ้าน ไร้รอยต่อ อาทิ ผู้ป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน จะได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดที่โรงพยาบาลชุมชน และได้รับการผ่าตัดหัวใจภายใน 3 เดือน ขยายการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัดไปยัง รพ.ชุมชนขนาดใหญ่ 150 แห่ง ขยายบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมรักษาผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายซึ่งมีประมาณ 200,000 ราย เพิ่มใน รพ.ชุมชนขนาดใหญ่อีก 207 แห่ง

นอกจากนี้ ได้เปิดบริการตรวจรักษาผู้ป่วยนอกด้วยการแพทย์แผนไทย คู่ขนานกับแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว 467 แห่ง จะเพิ่มอีก 100 แห่งในอีก 6 เดือน เป็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ภูมิปัญญาไทย โดยมีวิจัยตำรับยาไทยรักษาโรคมะเร็ง อาทิ มะเร็งปากมดลูก ตับ และปอด พบว่ามีสัญญาณที่ดี หากสำเร็จ จะเป็นข่าวดีของผู้ป่วยมะเร็ง รวมทั้งส่งเสริมการพึ่งพิงตนเองด้านยา ซึ่งขณะนี้องค์การเภสัชกรรมได้ผลิตยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาลดไขมันในเลือด ยารักษาจิตเวชได้เอง และได้วิจัยพัฒนายาเม็ดรักษาปัญหาผมร่วง ศีรษะล้าน รวมทั้งยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต คาดจะได้ใช้ใน 6 เดือนข้างหน้า และเร่งรัดการก่อสร้างโรงงานผลิตยาเม็ดยาฉีดที่รังสิตสามารถผลิตได้ภายใน 1 มิถุนายนนี้ ส่วนโรงงานผลิตวัคซีนที่ทับกวาง สระบุรี ได้รับการอนุมัติลงนามในสัญญาดำเนินการก่อสร้างต่อและสามารถผลิตวัคซีนได้เองในอีก 3 ปีข้างหน้าภายใต้การช่วยเหลือด้านวิชาการจากรัฐบาลญี่ปุ่น

สำหรับการสร้างหลักประกันสุขภาพคนไทยทุกคน ขณะนี้ทำได้กว่า 66 ล้านคนหรือร้อยละ 99.81 ของประชากรไทย และเติมเต็มส่วนที่ขาด โดยได้เสนอผู้ที่มีปัญหาสถานะและสิทธิให้ได้รับสิทธิเพิ่มอีก 285,171 คน มั่นใจว่าใน 3 ปีนี้คนไทยทุกคนจะมีหลักประกันสุขภาพ

นพ.สุรเชษฐ สถิตนิรามัย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการคุ้มครองสุขภาพประชาชน กระทรวงสาธารณสุขได้ผลักดันร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดขยะมูลฝอยติดเชื้อ ขยะพิษ เพื่อปกป้องสุขภาพคนไทยจากมลพิษขยะ ขณะนี้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว และพัฒนามาตรฐานบริการโรงพยาบาลรัฐและเอกชน สร้างความมั่นใจประชาชน มีรพ.รัฐผ่านการรับรองมาตรฐานเอชเอขั้นสูงสุดร้อยละ 54 ส่วนรพ.เอกชนผ่านแล้วร้อยละ 28 รวมทั้งติดตามควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ โดยเฉพาะเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากเป็นที่นิยมของประชาชนทุกวัย และการผลักดันพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดจากโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์