ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“อาจารย์แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว จุฬาฯ” ย้ำ หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ต้องเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานคนไทยทุกคน ชี้เส้นแบ่งรวยจนวัดยาก เหตุคนยุคปัจจุบันผูกติดทุนนิยม รวยเร็วจนเร็ว แนะ 3 ขั้นตอน สร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ พร้อมหนุนนโยบายหมอครอบครัว ลดภาระงบ แต่หวั่นไม่ยั่งยืนเพราะพึ่งพิงแค่บุคลากรในระบบสาธารณสุข ชี้ควรเปิดให้ทุกวิชาชีพและสังคมมีส่วนร่วม ลดภาระงบประมาณประเทศ  

ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์

ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ สำนักงานวิจัยและพัฒนาเพื่อการแปรงานวิจัยสุขภาพสู่การปฏิบัติ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าไม่ได้ขัดแยังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุให้คนมีเงินเสียสละให้คนจนใช้สิทธิ 30 บาท ที่ต้องการทำให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม แต่ความเป็นธรรมในสังคมจะเกิดขึ้นได้คงต้องตีความให้แตกก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะหากเป็นเรื่องความจำเป็นขึ้นพื้นฐาน หรือปัจจัย 4 โดยเฉพาะการการดูแลสุขภาพและการเข้าถึงการรักษาที่ปัจจุบันมีความจำเป็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คงต้องยืนยันว่า “การรักษาพยาบาลควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าจะเป็นคนยากจน ร่ำรวย ต่างต้องมีสิทธิในการได้รับการดูแลรักษาจากสถานพยาบาลหรือหน่วยงานภาครัฐเช่นกัน”

ทั้งนี้โดยหลักการดังกล่าว ที่ผ่านมามีผู้ที่เห็นแย้งว่าเป็นไปไม่ได้ ก็คงต้องมานั่งแลกเปลี่ยน เพราะการกำหนดว่าคนจนควรได้รับการรักษาฟรี และให้คนมีรายได้ระดับหนึ่งต้องจ่ายค่ารักษาทุกครั้งในการรับบริการ รูปแบบนี้ต้องดูว่าเป็นการสร้างความเปป็นธรรมหรือไม่ เพราะเรื่องเส้นแบ่งความยากจนเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันมานาน แม้แต่ในต่างประเทศ ซึ่งมีความพยายามใช้ระดับรายได้มาคิดเพื่อแบ่งระดับความยากจน แต่แนวคิดนี้กลับไม่ได้รับการยอมรับทั่วโลก เพียงแต่มีการยอมรับในหมู่นักวิชาการเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงพบว่า คนรวยในปัจจุบันอาจกลายเป็นคนจนได้ เพราะการใช้ชีวิตและเศรษฐกิจของประชาชนได้ผูกติดกับทุนนิยม อย่าง ตลาดหุ้น ที่คนลงทุนมาก เมื่อหุ้นขึ้นก็รวย แต่ก็ยากจนได้ทันทีเมื่อหุ้นลง ดังนั้นจึงต้องถามว่า แล้วเส้นแบ่งคนจนคนรวยนี้สามารถปรับตามสถานการณ์ที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ได้หรือไม่

นพ.ธีระ กล่าวว่า จากสถานการณ์ข้างต้นนี้ ส่วนตัวจึงคิดว่า สิทธิขั้นพื้นฐานหากรัฐบาลจัดให้กับประชาชนต้องให้กับทุกหมู่เหล่า ซึ่งหลักเกณฑ์การสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพง่ายๆ ทำได้โดยดำเนินการใน 3 ขั้นตอน คือ 1.รัฐต้องดูว่าทรัพยากรที่มีอยู่ในระบบมีอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน จากนั้นจึงจำแนกว่าเรื่องใดบ้างที่ควรกำหนดเป็นสิทธิบริการพื้นฐานที่รัฐต้องช่วยดูแลให้ครอบคลุม โดยดูความจำเป็นด้านสุขภาพ อาทิ การรักษาในภาวะวิกฤตฉุกเฉินที่เป็นการช่วยชีวิต ซึ่งการกำหนดสิทธิบริการพื้นฐานเหล่านี้ต้องทำโดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะจากภาคประชาชน ซึ่งจะทำให้เกิดการยอมรับง่ายขึ้น  

2.การวิเคราะห์การกระจายตัวของทรัพยากรในประเทศว่าเป็นไปอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ และเขตเมืองใหญ่ๆ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ประชาชนโดยเฉพาะในเขตชนบทสามารถเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเติมในพื้นที่ซึ่งยังขาด หรือจัดบริการส่งต่อที่มีกลไกให้เข้าถึงบริการได้ และ 3. ควรตรวจดูพฤติกรรมประชาชนในการเข้ารับบริการรักษาพยาบาลว่าเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมาภาครัฐจะเป็นกำหนดและจัดบริการให้ แต่ไม่ดูว่าตรงกับความต้องการของประชาชนหรือไม่ ขั้นตอนเหล่านี้จะทำให้ภาครัฐสามารถจัดการบริการสุขภาพให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง

ส่วนความเพียงพอของทรัพยากรในระบบสุขภาพนั้น นพ.ธีระ กล่าวว่า ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน หากดูความต้องการบริการจะพบว่าอย่างไรก็ไม่เพียงพอ ดังนั้นในการดำเนินนโยบายสุขภาพจึงต้องเปลี่ยนมุมมองที่ทรัพยากรด้านสุขภาพไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในกระทรวงสาธารณสุขหรือกองทุนสุขภาพ แต่มีการกระจายอยู่นอกระบบด้วย เนื่องจากการบริการสุขภาพครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษา และการฟื้นฟูผู้ป่วย เป็นต้น เพียงแต่ไม่มีการเปิดรับ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ต้องมีส่วนร่วมกัน ซึ่งแม้แต่องค์การอนามัยโลกยังประกาศชักจูงให้ทุกประเทศร่วมกันทำให้เรื่องสุขภาพเป็นนโยบายสาธารณะที่ต้องช่วยกัน  

ทั้งนี้หลักการข้างต้นนี้ จะเชื่อมโยงกับนโยบายหมอครอบครัวที่ ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข ได้ประกาศนโยบายไว้ แต่ส่วนตัวมองว่าอาจไม่ยั่งยืน เพราะแม้จะออกแบบการมีส่วนร่วมของสหวิชาชีพ แต่ก็ยังจำกัดเฉพาะในระบบสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ พยาบาล เภสัขกร ทันตแพทย์ นักบริบาล รวมถึงอาสาสมัครสาธารณสุข และจากภาระงานด้านสุขภาพที่มีมาก ประกอบกับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ด้วยจำนวนคนที่จำกัด อาจทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นทางออกจึงต้องให้ทุกสหวิชาขีพ ทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามีส่วนร่วมในระบบสุขภาพ ซึ่งจะส่งผลให้มีความยั่งยืนกว่า ทั้งยังช่วยลดภาระงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลของประเทศลงได้