ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

‘หมอปิยะสกล’ และผู้แทน 12 ประเทศในแถบเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมมือจัดการปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ชี้หากไม่รีบแก้ไขอีก 34 ปี ทั่วโลกจะมีคนเสียชีวิตจากปัญหาเชื้อดื้อยากว่า 10 ล้านคน โดยผู้เสียชีวิตเกือบครึ่งอยู่ในทวีปเอเชีย รวมทั้งจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมอย่างมหาศาล เตรียมเสนอเข้าที่ประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำจีเจ็ด (G7) ในเดือนกันยายน 2559 ก่อนนำเข้าสู่การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ

นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพในเอเชีย (Tokyo Meeting of Health Ministers on Antimicrobial Resistance in Asia) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จัดโดยกระทรวงสาธารณสุขแรงงานและสวัสดิการของญี่ปุ่น ร่วมกับสำนักงานองค์การอนามัยโลก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก โดยมีรัฐมนตรีสาธารณสุขและผู้แทนจาก 12 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังกลาเทศ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ เมียนมา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม เข้าร่วมประชุมโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระตุ้นเจตจำนงและความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political Commitment) เพื่อแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial resistance: AMR) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ยาปฏิชีวนะ ซึ่งใช้ในการป้องกันและรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียและจุลชีพอื่นๆ กลับมีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากมีการใช้เกินความจำเป็น ทำให้เชื้อแบคทีเรียมีพัฒนาการดื้อยาได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับบริษัทผู้ผลิตยาไม่มีแรงจูงใจในการผลิตยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ๆ ทำให้ทุกประเทศทั่วโลกตกอยู่ในวิกฤตร่วม คือกำลังเข้าสู่ยุคที่โรคติดเชื้อที่เดิมเคยรักษาหาย กลับรักษาไม่หายเพราะเชื้อดื้อยา หากไม่รีบแก้ไขคาดว่าในปี พ.ศ. 2593 ทั่วโลกจะมีคนเสียชีวิตจากปัญหาเชื้อดื้อยารวม 10 ล้านคน และประเทศในทวีปเอเชียจะได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะจะเสียชีวิตมากที่สุดสูงถึง 4.7 ล้านคน

นอกจากนี้ ปัญหาเชื้อดื้อยา ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งต่อการปศุสัตว์ การประมง การเพาะปลูก การค้าระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วไป และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (medical tourism) เนื่องจากปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ สามารถแพร่กระจายข้ามพรมแดนได้โดยผ่านการเคลื่อนย้ายของคน สัตว์ และสินค้าทางการเกษตร

นพ.ปิยะสกล กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและผู้แทนของ 12 ประเทศได้แสดงวิสัยทัศน์ และแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าในการพัฒนาและดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ (National Action Plan) ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์โลกว่าด้วยการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ (Global Action Plan on AMR) ที่ผ่านการเห็นชอบจากการประชุมสมัชชาอนามัยโลกครั้งที่ 68 พ.ศ. 2558 โดยที่ประชุมรับรองแถลงการณ์ของรัฐมนตรีสาธารณสุข (Ministerial Communique) ว่าด้วยความร่วมมือของประเทศในแถบเอเชีย-แปซิฟิกในการจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพในเอเชีย โดยประเทศญี่ปุ่นจะนำแถลงการณ์ของรัฐมนตรีสาธารณสุขจากการประชุมนี้ นำเสนอในการประชุมระดับผู้นำประเทศกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ( G7 Summit) ในเดือนพฤษภาคม 2559 และในการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำระดับรัฐมนตรีสาธารณสุข ในเดือนกันยายน 2559 เพื่อขับเคลื่อนเรื่องปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ เข้าสู่การประชุมระดับสูงของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ในเดือนกันยายน 2559 ต่อไป