ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยคนไทยเป็นพาหะธาลัสซีเมียร้อยละ 30-40 มีผู้ป่วยร้อยละ 1 ราว 6 แสนคน ร่วมกับภาคีเครือข่ายในการรักษา สร้างความตระหนักรู้ให้กับคนไทยตั้งแต่วัยเรียน ชี้หญิงตั้งครรภ์เข้าถึงบริการ "ฝากครรภ์คุณภาพ" ก่อน 12 สัปดาห์มากขึ้น ส่งผลให้การคัดกรองภาวะโลหิตจางธาลัสซีเมียเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 29.45 เป็น 30.89 พร้อมจัดสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติ ครั้งที่ 25 เพิ่มองค์ความรู้ทางเทคโนโลยี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ นำเสนอผลงานวิชาการ เพื่อป้องกันและควบคุมโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย

วันนี้ (27 มีนาคม 2567) พลเรือโท นายแพทย์นิกร เพชรวีระกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานงานสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติ ครั้งที่ 25 ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ จัดงานสัมมนาวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติในครั้งนี้ ร่วมกับกรมการแพทย์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมูลนิธิโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียแห่งประเทศไทย ซึ่งโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียหรือโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางตั้งแต่กำเนิดและเป็นเรื้อรังไปตลอดชีวิต มีระดับความรุนแรงตั้งแต่ระดับรุนแรงน้อย จนถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่มีการควบคุมและป้องกันโรค จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย จากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในอนาคตได้ 

“องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 8 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันธาลัสซีเมียโลก (World Thalassemia Day) เพื่อรณรงค์และกระตุ้นให้ทุกประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญในการป้องกันโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังบุตรได้ โดยในปี 2537 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดทำแนวทางในการควบคุมโรคที่เกิดจากความผิดปกติของฮีโมโกลบิน รวมถึงโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ทำให้ประเทศไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขจัดทำโครงการป้องกันและควบคุมโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียในหญิงตั้งครรภ์ ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา และจากสถานการณ์ประเทศไทยประสบปัญหาการเด็กเกิดน้อย โดยในปีที่ผ่านมามีจำนวนการเกิดต่ำกว่า 5 แสนราย ดังนั้น ทุกการเกิดต้องมีคุณภาพ ที่เกิดจากการวางแผนและเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้ทุกการเกิดสมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากความพิการแต่กำเนิด โดยเฉพาะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง และในปี 2567 รัฐบาล โดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศนโยบายส่งเสริมการมีบุตร ที่มีคุณภาพให้หน่วยบริการ ได้จัดให้มีการส่งเสริม สนับสนุนการบริการอนามัยแม่และเด็ก รวมถึงการคัดกรองโรคต่าง ๆ ตามมาตรฐาน” ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ปัญหาการเกิดน้อยของประเทศไทยเกิดจากหลายปัจจัย เช่น แนวโน้มการใช้ชีวิตอยู่เป็นโสดมากขึ้น แต่งงานช้า ชะลอการมีบุตร หญิงตั้งครรภ์ และครอบครัวขาดความรู้ในการดูแลตนเองทั้งในระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัยจึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2569) ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยมีนโยบายว่า “รัฐบาลสนับสนุนและส่งเสริมการเกิดเพิ่มขึ้นด้วยความสมัครใจ เพื่อเพียงพอสำหรับทดแทนประชากร และการเกิดทุกรายมีการวางแผนมีความตั้งใจและมีความพร้อมในทุกด้าน นําไปสู่การคลอดที่ปลอดภัย ทารกแรกเกิดมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ”

นายแพทย์เอกชัย กล่าวด้วยว่า จากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ มีเป้าหมายในการเสริมสร้างศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต แต่สถานการณ์ปัจจุบันเด็กเกิดน้อย จึงมีนโยบายส่งเสริมการเกิดให้เด็กไทยทุกคนเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ จากงานป้องกันและควบคุมโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรมเป็นอีกงานที่สำคัญ โดยเฉพาะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ซึ่งคนไทยเป็นพาหะธาลัสซีเมีย 30-40 เปอร์เซ็นต์ และผู้เป็นโรคธาลัสซีเมีย 1 เปอร์เซ็นต์ของประชากร หรือราว 6 แสนคน ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ได้มีการร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการรักษาโรค การให้ยา การให้เลือด และการปลูกถ่ายไขกระดูก รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้ให้กับคนไทยตั้งแต่วัยเรียน 

“เนื่องจากสถานการณ์งานอนามัยแม่และเด็กจากอดีตจนถึงปัจจุบันมีแนวโน้มดีขึ้น โดยข้อมูลจากกองบริหารสาธารณสุข ปี 2566 พบว่า หญิงตั้งครรภ์ฝากครรภ์ครั้งแรก เมื่ออายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 12 สัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 75.05 หญิงหลังคลอดได้รับการดูแลครบ 3 ครั้ง ตามเกณฑ์ร้อยละ 64.27 จากการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขที่มากขึ้นของหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งการสื่อสารให้ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ที่สำคัญ กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบาย แนวทางการควบคุมและป้องกันโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โดยบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของหญิงตั้งครรภ์ให้มีการคัดกรองในหญิงตั้งครรภ์ และสามีที่มาฝากครรภ์ทุกราย ส่งผลให้พบหญิงตั้งครรภ์มีภาวะโลหิตจางเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 29.45 ในปี 2565 เป็นร้อยละ 30.89 ในปี 2566 จากสิทธิประโยชน์ดังกล่าว กรณีที่มีการวินิจฉัยว่าทารกเสี่ยงเป็นโรคธาลัสซีเมีย สามารถวินิจฉัยและรักษาตามมาตรฐานวิชาชีพ ตั้งแต่การยุติการตั้งครรภ์ การให้เลือด การให้ยาขับธาตุเหล็ก และการปลูกถ่ายไขกระดูก”  รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

เรื่องที่เกี่ยวข้อง