ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เผยแพร่ครั้งแรก นสพ.ASTVผู้จัดการรายวัน วันที่ 2 กันยายน 2554 หน้า 10

พลันที่มีผู้จุดประกายความเหลื่อมล้ำของสวัสดิการรักษาพยาบาลในระบบประกันสังคมที่มีสิทธิประโยชน์ด้อยกว่าบัตรทองซึ่งไม่ต้องจ่ายสมทบทุกเดือน หวังกระตุกให้สังคมฉุกคิดถึงความไม่เป็นธรรม และนำไปสู่ความพยายามที่จะผลักดันให้ฝ่ายนโยบายทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ทว่าการเคลื่อนไหวกดดันเรียกร้องนับตั้งแต่เดือนมกราคม 54 เป็นต้นมา ความคืบหน้าเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้กลับมีน้อยมากดังนั้น เมื่อย้อนกลับไปดูความพยายามของภาครัฐที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กลับพบว่าส่วนใหญ่เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง

จุดเริ่มต้นของความพยายามแก้ไขปัญหามาจากการเรียกร้องของ "ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน" ภายใต้การนำของนายนิมิตร์เทียนอุดม และ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เริ่มต้นเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความเป็นธรรมของชมรมพิทักษ์สิทธิฯ เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2554 ในงานเสวนา "ทำไมเราต้องจ่ายอยู่กลุ่มเดียว"ถัดจากนั้นอีกเพียง 5 วัน ในวันที่ 11 ก.พ.2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ เพื่อสางระบบสุขภาพ 3 ระบบใหญ่ให้เกิดความเป็นธรรม

นับแต่นั้นมา การขับเคลื่อนเรียกร้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องมีกลุ่มผู้เข้าร่วมสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระแสกดดันดังกล่าวตกหนักอยู่กับสำนักงานประกันสังคม โดยนพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ปลัดกระทรวงแรงงาน และประธานบอร์ด สปส. ที่ให้คำยืนยันเมื่อวันที่ 23 มี.ค.2554 ว่าจะนำเรื่องความเป็นไปได้ที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความประเด็นการเก็บเงินสมทบขัดต่อรัฐธรรมนูญเข้าที่ประชุมบอร์ด สปส.เดือน เม.ย.2554 พร้อมกับจะเร่งให้ สปส.ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนและเตรียมขยายสิทธิให้ครอบคลุมประชาชนกลุ่มอื่นๆ ด้วยขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานยังโยนให้ผู้ประกันตนเป็นผู้ตัดสินใจสามารถเลือกใช้ระบบประกันสุขภาพได้ตามความสมัครใจ

ระหว่างนั้น ดูเหมือนปัญหาด้านข้อกฎหมายกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ถกกันอย่างไม่มีวันจบสิ้น โดยเฉพาะประเด็นการเก็บเงินสมทบขัดต่อรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ ซึ่งอาจต้องรอผลสิ้นสุดที่ชั้นศาล

ระหว่างนี้ได้มีการร่วมกันหาทางแก้ปัญหา โดยที่ประชุมบอร์ด สปสช.เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ได้ลงมติแต่งตั้งตัวแทนบอร์ด สปสช.เพื่อไปหารือร่วมกับบอร์ด สปส.ตามมาตรา 10 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติทว่าการประชุมหลายครั้งหลายคราดูเหมือนปัญหายังคงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่คืบหน้า

จากที่ต้องตกเป็นฝ่ายรับมาโดยตลอดในวันที่ 8 พ.ค.2554 สปส.ปรับบทบาทกลับมาเป็นฝ่ายรุกด้วยการจัดเสวนาหัวข้อทางเลือกในการประกันสุขภาพของแรงงานในระบบประกันสังคม : เสือหรือจระเข้ โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนา เช่นนพ.สมเกียรติ นพ.สุรเดชวลีอิทธิกุล นายพนัส ไทยล้วน นายชินโชติแสงสังข์ประธานสภาแรงงานแห่งประเทศไทยพญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาล ศูนย์โรงพยาบาลทั่วไปและ นายแก้วสรร อติโพธินักวิชาการอิสระโดยทั้งหมดเห็นพ้องกันว่า สปส.เป็นองค์กรที่ดีเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข แต่ที่ผ่านมาถูกพูดถึงเฉพาะด้านที่ด้อยกว่า สปสช.เท่านั้น หากหยุดเก็บสมทบจะสร้างนิสัยให้ผู้ประกันตนเป็นขอทาน

ที่สำคัญมีการตั้งข้อสังเกตว่าจุดประสงค์ของชมรมพิทักษ์สิทธิฯ คือ จงใจฮุบกองทุนสปส.ซึ่งมีเงินร่วม 8 แสนล้านบาทให้ไปอยู่ภายใต้การดูแลของ สปสช. อย่างไรก็ตามการประชุมร่วมระหว่าง 2 บอร์ดสุขภาพยังคงจัดขึ้นเป็นคู่ขนาน แบบฉบับที่คุยกันโดยไร้ทางออก หรือข้อยุติที่จะพอใจทั้ง 2 ฝ่าย

เรื่อยมาจนถึงเดือน มิ.ย.เข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ จับกระแสการหาเสียงผ่านนโยบายด้านสาธารณสุข-แรงงานไม่พบพรรคการเมืองใดที่ให้ความสนใจต่อประเด็นความเหลื่อมล้ำในระบบหลักประกันสุขภาพนัก

จนถึงขณะนี้ กลไกมาตรา 10 ใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นช่องทางตีบตันที่ไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมของระบบประกันสังคมได้ เช่นเดียวกับการตีความเรื่องความเหลื่อมล้ำของสิทธิรักษาพยาบาลในระบบประกันสังคมที่ด้อยกว่าสิทธิบัตรทองและสวัสดิการข้าราชการก็ยังคงค้างเติ่งอยู่ที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนและผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะคืบหน้าไปได้อย่างไรต่อไป

คำว่า "พายเรือในอ่าง" อาจจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุด ณ เวลานี้ สำหรับความพยายามที่จะแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ผู้ประกันตนถูกทำให้เผชิญหน้าอยู่ และคงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานตราบเท่าที่ผู้มีอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายไม่ตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงร่วมกันแต่ยังคิดถึงผลประโยชน์ของฝ่ายตนเป็นที่ตั้งขณะที่จุดยืนของกลุ่มการเมืองอำนาจใหม่ที่มีต่อเรื่องนี้ก็ยังไม่ชัดเจน เสมือนหนึ่งเฝ้ารอดูจนกว่าจะเห็นช่องทางใหม่ที่จะสร้างชื่อได้จากกรณีนี้เท่านั้น