ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

นโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรค ที่ทำให้คนไทย 99% มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้นเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการสุขภาพไทยและบทเรียนสำคัญในระดับนานาชาติ  เป็นผลงานในความทรงจำของพรรรคไทยรักไทย

นโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรคได้เริ่มขึ้นในปี 2543 และการเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทถูกยกเลิกไปในสมัยรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งในมุมหนึ่งเพื่อทำลายสัญลักษณ์ของพรรคไทยรักไทย แต่ก็มีส่วนสำคัญในการทำงานนโยบายหลักประกันสุขภาพนั้นเป็นนโยบายแห่งชาติที่ทุกพรรคการเมืองต้องสนับสนุน  แต่แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมารื้อฟื้นการเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทกลับมาใหม่ ชวนให้วิเคราะห์ดูว่าเก็บแล้วจะได้อะไร  

หากพิจารณาไตร่ตรองเหตุผลอย่างรอบคอบต่อการเก็บค่าธรรมเนียม 30 บาทนั้น ก็มีประโยชน์อย่างน้อย 3 ประการ

หนึ่ง สามารถเพิ่มเงินรายได้ให้สถานพยาบาลของรัฐปีละ 2,000 ล้านบาท แต่หากมองลึกลงไปเงินจำนวนนี้สำหรับรัฐบาลนั้นหาไม่ยาก เพียงแค่รัฐบาลเพิ่มภาษีเหล้าเบียร์สุราอีกสัก 5% รายได้จากภาษีเหล่านี้ก็มากกว่า 5,000 ล้านบาทแล้ว ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องมาให้โรงพยาบาลต้องมาปวดหัวและทะเลาะกับคนไข้โดยไม่จำเป็น มีภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยสินค้าที่ทำลายสุขภาพอีกมากที่รัฐบาลหารายได้เพิ่มได้ นั่นคือเป้าหมาย โดยไม่ต้องมาเอาเงินออกจากกระเป๋าคนจน

สอง เป็นการร่วมจ่ายเพื่อให้เกิดการมาใช้บริการที่โรงพยาบาลอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ข้อนี้มีเหตุผลมากที่สุด แต่ปัจจุบันความแออัดของโรงพยาบาลที่ทำให้ผู้ป่วยต้องรอนานก็เป็นเครื่องกรองอย่างดีที่หากไม่ป่วยพอประมาณไม่มีใครอยากจะมาโรงพยาบาลมารอสองสามชั่วโมงหรือทั้งวันหรอก คนที่มานั่งรอส่วนใหญ่ก็คนจนทั้งนั้น จนแล้วต้องมานั่งรอนาน ขาดรายได้แล้วยังต้องมาจ่ายสามสิบบาทอีก หากรัฐบาลคิดถึงเรื่องการร่วมจ่ายจริงๆแล้ว  หลักของการร่วมจ่ายคือรวยมากจ่ายมาก จนระดับหนึ่งได้รับการยกเว้น อัตราเดียวสามสิบบาทไม่ใช่คำตอบของการร่วมจ่าย คนรายได้ปีละล้านก็จ่ายสามสิบบาทเท่าที่รายได้เท่าค่าแรงขั้นต่ำ เช่นนี้ไม่อาจเรียกว่าความเป็นธรรม

สาม เป็นการฟื้นฟูความทรงจำของประชาชนต่อนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทยในอดีตหรือพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน  หากนี่คือเหตุผลที่แท้จริง เหตุผลนี้คือเหตุผลที่ยืนอยู่บนความทุกข์ของคนจน คนที่เป็นฐานเสียงสำคัญของรัฐบาล แม้ว่าโดยหลักการคนจน  เด็ก ผู้สูงอายุและผู้พิการ จะได้รับการยกเว้นการเก็บสามสิบบาทก็ตาม แต่คนจนกี่คนที่ได้รับการยกเว้น อะไรที่เรียกว่าจน คนที่รับค่าแรงวันละสามร้อยบาทจนไหม ยากลำบากในการตีความ เงินส่วนนี้ควรจะเป็นเงินค่าขนมของลูกของหลาน มากกว่ามาตอบสนองนโยบายเพียงเพื่อจะเอาสัญลักษณ์แห่งสามสิบบาทกลับคืนมา 

สรุปจากเหตุผลทั้งสามประการแล้ว ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะดันทุรังเก็บ 30 บาทไปอีกทำไม เรื่องดีๆมีมากมายที่น่าทำแต่ไม่ทำ เรื่องแค่จะเอาโลโก้สามสิบบาทกลับมาแต่ไม่มีผลดีอื่นใดเลยกลับผลักดัน เช่นนี้แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะฉลาดน้อยไปไหม จะกลับมาเก็บสามสิบบาทอีกทำไม คิดสั้นๆไปหรือเปล่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยกล้าๆตัดสินใจยกเลิกไปเลย ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะจะให้รัฐมนตรีวิทยา บุรณศิริมากลืนน้ำลายตนเองนั้น แม้อยากกลืนก็ทำไม่ได้