ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

ที่ประชุมการสร้างความเป็นเอกภาพและบูรณาการสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบประกันสุขภาพภาครัฐ ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่21 ส.ค.ที่ผ่านมา ที่มี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาใน 3 ประเด็น

1.นโยบายการดูแลสุขภาพเด็กและสตรีทั้งคนไทยและต่างด้าว 2.นโยบายและรูปแบบการสนับสนุนมาตรฐานการผลิต เพื่อส่งเสริมการขายและการตลาดต่อสินค้าโอท็อป อาหารแปรรูปสมุนไพรและยาไทย 3.กลยุทธ์การจัดงานเมดิคัล เอ็กซ์โป ระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-2 ก.ย.นี้

วิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข(สธ.)ระบุหลังประชุมว่า หลังจากนี้รัฐบาลจะเพิ่มสิทธิการเข้าถึงบริการให้ทั้งเด็กไทยและต่างด้าว อายุ 0-6 ขวบโดยเด็กแรกเกิดทุกรายจะได้รับตรวจเลือดหาความเสี่ยงโรคขาดสารไอโอดีนและเด็กต่างด้าวจะได้สิทธิบริการพื้นฐานที่จำเป็นเท่าเทียมเด็กไทย อาทิวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรค การส่งเสริมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นาน 6 เดือน

พร้อมกันนี้ จะรณรงค์ให้หญิงฝากครรภ์เร็วขึ้นก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์มีการตรวจเลือดค้นหาโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น ทาลัสซีเมีย ดาวน์ซินโดรม รวมทั้งตรวจเชื้อเอชไอวี

สำหรับการจำหน่ายสินค้าโอท็อปขณะนี้ทั่วประเทศมีผู้ผลิตกว่า 2 หมื่นราย มูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยจะมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลังกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์และให้หาช่องทางจัดจำหน่ายในห้างค้าปลีกรายใหญ่ทุกแห่ง

ขณะที่การจัดงานเมดิคัล เอ็กซ์โป มีการประเมินกันว่าในปี 2555 การบริการทางการแพทย์ การแพทย์แผนไทยสมุนไพร จะนำรายได้เข้าประเทศร่วม1.2 แสนล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลจึงจัดงานขึ้นเพื่อแสดงศักยภาพด้านบริการสุขภาพ โดยภายในงานจะมีการสัมมนาทางวิชาการ การเจรจาทางธุรกิจ และการบริการตรวจรักษาพยาบาลฟรี

อย่างไรก็ตาม เจตนารมณ์ของการประชุมบูรณาการ 3 กองทุนสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ คือ การสร้างมาตรฐานการรักษาพยาบาลให้เป็นมาตรฐานเดียว ลดความเหลื่อมล้ำที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังและผู้ป่วยมะเร็ง

ทว่า การประชุมในครั้งนี้กลับไม่พูดถึงประเด็นเหล่านี้ แต่เลือกที่จะพิจารณาเรื่องสินค้าโอท็อป เมดิคัลเอ็กซ์โป เป็นต้น 

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ 22 ส.ค.55