ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

หุ้นโรงพยาบาลวิ่งขานรับเมดิคัลฮับ นโยบายรัฐหนุนต่างชาติเข้ารับรักษาตัวในไทยนานขึ้น แถมไม่ต้องทำวีซ่า ด้าน BH เล็งซื้อธุรกิจและสร้าง รพ. เอง ส่วน BGH เล็งซื้อ รพ.ใหม่ ด้าน BCH รับอานิสงส์เปลี่ยนการจ่ายเงินประกันสังคม พร้อมเปิด WMC โรงพยาบาลระดับพรีเมียมในไตรมาส 4 ดันรายได้ปี 56 กระฉูด

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล อาทิหุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BGH ราคาปิดที่ระดับ 111 บาท บวกไป 3 บาท หรือคิดเป็น 2.78% ค่าพีอีอยู่ที่ 24.97 เท่า, หุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ BH ราคาปิดที่ระดับ 81.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ค่าพีอีอยู่ที่ 31.13 เท่า  และหุ้นบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ราคาปิดที่ระดับ 9.70 บาท บวกไป 0.15 บาท หรือคิดเป็น 1.57 % ค่าพีอีอยู่ที่ 23.82 เท่า ซึ่งทั้งหมดมีปริมาณการซื้อขายเข้ามาอย่างหนาแน่น

เหตุผลที่มีวอลุ่มซื้อขายเข้ามาเนื่องจากนักลงทุนให้ความสนใจหุ้นกลุ่มการแพทย์ ประกอบกับทางภาครัฐบาลสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นเมดิคัลฮับ หรือศูนย์กลางสุขภาพของนานาชาติ ภายในปี 2555-2559 โดยทางกระทรวงสาธารณสุขยังได้สนับสนุนให้การเกิดการใช้บริการทางการแพทย์ของชาวต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น

โดยเฉพาะการขยายเวลาพำนักของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย จากเดิม 30 วัน เป็น 90 วัน โดยไม่ต้องทำวีซ่า และสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้หลายครั้ง รวมกันแล้วไม่เกิน 1 ปี ในขั้นต้นอนุโลมให้ 5 ประเทศในกลุ่มอาหรับ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัฐกาตาร์ รัฐคูเวต รัฐสุลต่านโอมาน และรัฐบาห์เรน   ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะส่งผลดีต่อหุ้นโรงพยาบาลที่มีฐานคนไข้เป็นชาวต่างชาติ

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ผู้บริหาร BH เปิดเผยแผนการลงทุนว่า จะเน้นในประเทศไทยเป็นหลัก โดยจะอยู่ในรูปการเข้าซื้อธุรกิจและการสร้างโรงพยาบาลใหม่ นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า ได้ยกเลิกแผนการลงทุนในฮ่องกงไปแล้วตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากมองว่ามีความเสี่ยง ข่าวดังกล่าวโดยเฉพาะเรื่องแผนการเข้าซื้อโรงพยาบาลอื่นถือว่าเป็นไปตามที่เราคาด เนื่องจากบริษัทถือเงินสดเกือบ 5 พันล้านบาท หลังจากการขายหุ้น BCH เมื่อกลางปีที่ผ่านมา

 “ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองว่าบริษัทอยู่ในช่วงกำไรเติบโตระดับสูงราว 28% ในช่วง 2 ปีข้างหน้า พร้อมกับมี Upside จากการเข้าซื้อกิจการ แนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 97 บาท”

สำหรับ BGH ได้ปรับเพิ่มการเติบโตของรายได้ในปี 2555 เป็น 15% จากระดับ 12% พร้อมกับเปิดเผยแผนลงทุนว่าจะเข้าไปสร้างโรงพยาบาลใหม่ 1 โรงพยาบาลในพม่า ข่าวการปรับประมาณการเติบโตของรายได้ไม่ใช่ข่าวใหม่ เนื่องจากนักวิเคราะห์ได้มีการปรับรายได้และกำไรไปก่อนหน้านี้แล้วหลังจากในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ รายได้เติบโตกว่า 15% สำหรับการลงทุนในพม่า

 “แม้เรามองว่ามีความเสี่ยงและอาจไม่จำเป็นมาก เนื่องจากผู้ป่วยสามารถเดินทางเข้ามารักษาในประเทศไทยได้อยู่แล้ว แต่เชื่อว่าการลงทุนจะไม่ใหญ่มาก ทำให้ความเสี่ยงมีจำกัด เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 113 บาท”

ด้าน บล.ทิสโก้ ประเมินหุ้น BCH จากผลประกอบการไตรมาส 2/55 เพิ่มขึ้น 27% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 220 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และอัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดลง ถึงแม้ว่าช่วงไตรมาส 2 จะเป็นช่วงนอกฤดูกาลของ BCH แต่บริษัทยังมีรายได้ 1.08 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% ช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1.3% เทียบไตรมาสที่ผ่านมา

เนื่องจากรายได้จากผู้ป่วยประกันสังคมที่เพิ่มขึ้น โดยผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก คิดเป็น 51.4% จากประมาณการทั้งปีของฝ่ายวิจัย  แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 11.5 บาท (DCF) อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น สำหรับการคาดการดำเนินงานเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2555 ซึ่งคาดว่า BCH จะเติบโตแข็งแกร่ง เนื่องจากได้ประโยชน์หลักจากการเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินในโครงการประกันสังคม รวมทั้งประโยชน์จากการลดอัตราภาษีนิติบุคคล นอกจากนี้  WMC โรงพยาบาลระดับพรีเมียมที่จะเปิดในช่วงไตรมาส4/55 ทำให้รายได้ขึ้นมากในปี 2556

สำหรับความเสี่ยงของ BCH คือ อำนาจซื้อลดลง การใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่น้อย ความล้มเหลวในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ความเสี่ยงจากการเปิด WMC และการแข่งขันในกลุ่มโรงพยาบาลที่เน้นลูกค้าในระดับ middle มากยิ่งขึ้น

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า สำหรับหุ้น BH ส่วนใหญ่จะเน้นคนไข้ชาวต่างชาติเป็นหลัก และมีสถานที่ที่อำนวยความสะดวกเพื่อรองรับญาติพี่น้องของผู้ป่วยที่ติดตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ความงาม และอื่นๆ เป็นต้น

ที่ผ่านมา นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2547 กระทรวงฯ ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์รองรับการดำเนินงาน 4 ด้าน ได้แก่ 1.บริการการรักษาพยาบาล 2.บริการการส่งเสริมสุขภาพ 3.บริการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และ 4.ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี (GMP) ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ มีบริการเฉพาะสำหรับชาวต่างชาติ มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญ มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ต้องรอคิวนาน ราคาเหมาะสม

สำหรับผลการประเมินเมดิคัลฮับในปีนี้มีต่างชาติเดินทางมารักษาในประเทศไทย 2.5 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 121,658 ล้านบาท ต่างชาติที่เข้ามามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ตะวันออกกลาง และออสเตรเลีย บริการที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ศัลยกรรมกระดูก ผ่าตัดโรคหัวใจ ศัลยกรรมความงาม ทันตกรรม โรคทางเดินอาหาร ตรวจสุขภาพ คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มเป็น 800,000 ล้านบาท

ที่มา : นสพ.ข่าวหุ้น วันที่ 7 ก.ย. 2555