ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

"เวลาที่ลูกไม่สบายเราก็ไม่กล้าพาไปหาหมอในตัวเมือง ความจริงเรามีบัตรถูกต้องนะ แต่สิทธิไม่ครอบคลุมถึงลูกเรา ค่ารักษาก็แพงเหลือเกิน เราทำงานได้ค่าแรงวันละไม่กี่บาทเอง เงินค่ารักษาลูกก็ไม่พอ เราเลยพาลูกมารักษาที่นี่แทน" มะเอ ชายชาวพม่าวัย 39 ปี ที่เข้ามาขายแรงงานด้านการเกษตรในประเทศไทย บอกเล่าความรู้สึกให้เราฟังถึงความยากลำบากที่ต้องพาลูกสาวอายุ 5 ขวบ ที่เจ็บป่วยด้วยอาการไข้ขึ้นสูงเข้ามารักษาพยาบาลที่คลินิกแม่ตาว ถนนสายแม่สอด-ริมเมย ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก

ไม่เฉพาะครอบครัวของมะเอเท่านั้น แต่ที่คลินิกแม่ตาวแห่งนี้ ยังมีแรงงานข้ามชาติหอบลูกจูงหลานเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก นอกจากลูกสาวของมะเอที่ป่วยด้วยไข้ขึ้นสูงแบบไม่ทราบสาเหตุแล้ว ในเตียงถัดไปยังมีเด็กน้อยวัย 5 เดือน ที่ป่วยด้วยอาการไข้ขึ้นสูงและชัก จนขาดอากาศหายใจ นอนให้ออกซิเจนอยู่ข้างๆ ภาพเหล่านี้คงเป็นที่ชินตาสำหรับคนที่นี่ หากแต่เมื่อพิจารณาถึงสภาพแวดล้อม พร้อมทั้งอุปกรณ์ และจำนวนของเด็กๆ ที่เข้ามารับการรักษาแล้ว คลินิกแห่งนี้ไม่สามารถรองรับจำนวนของเด็กที่ป่วยในแต่ละวันได้ทันอย่างแน่นอน

น.ส.เอคพอ อาสาสมัครสาธารณสุขของคลินิกแม่ตาว เปิดเผยถึงสถานการณ์การรักษาเด็กๆ ของคลินิกให้เราฟังว่า ทุกวันจะมีเด็กเข้ามารับการรักษาในคลินิกของเราไม่ต่ำกว่า 100 คนต่อวัน ซึ่งส่วนมากเด็กๆ จะเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ ปอด หลอดลม และไข้ขึ้นสูง เราก็จะทำการรักษาเด็กๆ หมดทุกคน ไม่ว่าจะมาจากที่ไหน เด็กที่เข้ามารับการรักษาในคลินิกของเราจะมีอยู่ 2 ประเภท คือเด็กที่พ่อแม่พาข้ามมาจากประเทศพม่าเพื่อเข้ามารับการรักษาในคลินิกของเราโดยเฉพาะ และเด็กๆ ที่เป็นผู้ติดตามพ่อแม่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งเด็กๆ เหล่านี้จะไม่มีสิทธิ์ในการรับการรักษาในประเทศไทย เราก็ต้องช่วยเหลือและรักษาเขาอย่างเต็มที่ และถ้าหากเด็กคนใดที่มีอาการหนักเราก็จะทำเรื่องส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.แม่สอด หรือไม่ก็ไปรักษาต่อที่เชียงใหม่ ที่เราได้ทำโครงการของการรักษาพยาบาลฟรีไว้ แต่ก็ไม่รักษาเด็กๆ ทีอาการหนักได้เพียงพอ

นอกจากเราจะทำการรักษาเด็กๆ ตามอาการของการเจ็บป่วยของเด็กๆ แล้ว เรายังฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคเบื้องต้นให้กับเด็กๆ ด้วย โดยเราจะเปิดคลินิกในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เพื่อทำการฉีดวัคซีนให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะ ซึ่งในแต่ละวันก็จะมีเด็กๆ เข้ามาใช้บริการฉีดวัคซีนในคลินิกของเราราว 90-80 คน ประเด็นที่สำคัญในขณะนี้คือ คลินิกของเรานั้นรับการรักษาเด็กๆ ได้ แต่อาจจะไม่เพียงพอต่อจำนวนของเด็กๆ ที่เจ็บป่วย ซึ่งในแต่ละวันก็มีเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากจะมีวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดที่เด็กๆ สามารถเข้าไปใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลในประเทศไทยได้ด้วยก็จะเป็นการดีกับเด็กมาก" แพทย์ประจำแผนกกุมารเวชของคลินิกแม่ตาวกล่าว

ทั้งนี้ความหวังในการได้รับสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลจากรัฐไทยดูเหมือนจะเป็นความจริงและเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทยคนที่ผ่านมา ได้ออกประกาศนโยบายสุขภาพดีที่ชายแดน 31 จังหวัดแนวชายแดนไทยกับ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน ตลอด 5,820 กิโลเมตร โดยเน้น 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ครอบคลุมมาตรฐานเหมือนพื้นที่ปกติให้ประชาชนทั้งคนไทยและต่างด้าวเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนทั้งไทยและต่างประเทศ และการบริหารจัดการ โดยการเพิ่มสิทธิ์การเข้าถึงบริการนี้จะมีการจัดทำบัตรสุขภาพ (Health Card) ให้เด็กไทยและเด็กต่างด้าว อายุ 0-6 ปี มีเลขประจำตัว 13 หลัก พร้อมที่อยู่ชื่อบิดามารดา และมีวันหมดอายุ เพื่อบันทึกสุขภาพของเด็กตลอดจนการรับวัคซีนของเด็กทุกคน โดยให้เด็กและหญิงตั้งครรภ์สามารถเข้ารับบริการในสถานพยาบาลได้อย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้นโยบายที่ประกาศออกมาในครั้งนี้ของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยังไม่ถูกนำมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และยังไม่มีความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติ หากแต่ได้จุดประกายความหวังให้กับเด็กๆ ลูกหลานแรงงานข้ามชาติเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลของเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาตินั้น ระบุตัวเลขของเด็กที่ยังไม่มีสัญชาติไทยและยังไม่ได้สิทธิในการรับการรักษาพยาบาลและหลักประกันสุขภาพ ที่ปรากฏอยู่ในทะเบียนราษฎรในปัจจุบันมีอยู่ทั้งสิ้น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มเด็กที่ยังไม่มีสัญชาติไทยแต่พ่อแม่อยู่อาศัยในประเทศไทยมานาน และได้รับการสำรวจตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยกลุ่มชนกลุ่มน้อยตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย เลขประจำตัว 13 หลัก ของเด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นต้นด้วยเลข 7 กลุ่ม 2.เด็กกลุ่มไม่มีสถานะทางทะเบียน ที่ได้รับการสำรวจตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล พ.ศ.2548 (เลขประจำตัว 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 0 3.เด็กผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติสามสัญชาติ (พม่า ลาว และกัมพูชา) อายุไม่เกิน 15 ปี ที่พ่อแม่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทยได้เป็นการชั่วคราว และอยู่ระหว่างการขอพิสูจน์สัญชาติกับประเทศต้นทาง เลขประจำ 13 หลัก ขึ้นต้นด้วยเลข 00 และ4.คือเด็กๆ ในกลุ่มที่เกิดหลังจากพ่อแม่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย และไปดำเนินการแจ้งเกิด และถูกบันทึกในทะเบียนราษฎรแล้ว ดังนั้นเด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะยังไม่มีหลักประกันสุขภาพ

นายอดิศร เกิดมงคล ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่เราพบเห็นได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับลูกหลานแรงงานข้ามชาตินั้น คือความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาล เด็กหลายคนถึงแม้จะเข้ามาในประเทศไทยตามพ่อแม่อย่างถูกกฎหมาย แต่สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลก็ไม่ได้ครอบคลุมกับเขาด้วย การประกาศนโยบายนี้ของรัฐบาลไทยจึงเป็นเหมือนแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องระบบสุขภาพของเด็กๆ ลูกหลานแรงงานข้ามชาติไ0ด้ อย่างไรก็ตาม นอกจากรัฐจะใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหาการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพของเด็กๆ แล้ว สิ่งที่เป็นปัญหายังมีอีกหลายเรื่อง อาทิ เรื่องของการเข้าถึงการมีสถานะบุคคล ซึ่งการสำรวจกลุ่มผู้ตกหล่นยังไม่ทั่วถึง ทำให้เด็กไม่สามารถเข้าสู่การมีสถานะทางทะเบียนและหลักประกันสุขภาพได้ รวมทั้งเรื่องของการขาดระบบฐานข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์ และงบประมาณในการให้บริการแก่เด็กๆ ลูกหลานแรงงานข้ามชาติ

นอกจากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ปัญหาการแจ้งเกิดเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยหลังการคลอดยังมีอย่างไม่ทั่วถึง มีความไม่เข้าใจของผู้ปกครอง หรือการดำเนินการระดับพื้นที่อยู่พอสมควร ส่งผลให้เด็กไม่มีสถานะหลังการเกิดได้ รวมถึงชุมชนของกลุ่มคนที่ยังไม่มีสัญชาติบางส่วนยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อเรื่องการรับบริการวัคซีน และการติดตามดูแลแม่และเด็กหลัง คลอด และการเข้าถึงข้อมูลในหลักประกันสุขภาพยังมีไม่มาก และมีข้อจำกัดในเรื่องภาษา สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกเรื่อง คือ สถานบริการมีความห่างไกลจากชุมชนในบางพื้นที่ ทำให้การเข้าถึงการรักษาพยาบาลหรือการบริการด้านสุขภาพจึงเป็นไปได้ยาก หากรัฐบาลจะจริงใจและทำให้ระบบประกันสุขภาพของลูกหลานแรงงานข้ามชาติเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ควรหยิบกรณีเหล่านี้ไปประกอบในการดำเนินนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมด้วย" ตัวแทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าว

นายอดิศร ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินนโยบายนี้ให้ประสพผลสำเร็จนั้น คือการปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ทีเกี่ยวข้องกับการทำงานเรื่องสุขภาพของเด็ก เพราะทัศนคติของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเรื่องสิทธิและการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพยังเป็นปัญหากีดกันการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพของกลุ่มเด็กที่ยังไม่มีสัญชาติไทย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเจ้ากระทรวงสาธารณสุขที่รับผิดชอบในเรื่องนี้โดยตรง แต่โจทย์เรื่องความฝันและความหวังของลูกหลานแรงงานข้ามชาติในเรื่องสิทธิและระบบประกันด้านสุขภาพของลูกหลานแรงงานข้ามชาติ จึงเป็นนโยบายหลักที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ จะต้องดำเนินการสานต่อให้เกิดเป็นรูปธรรม เพราะปัญหาสุขภาพเป็นปัญหาเรื่องมนุษยธรรมที่ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติ เพศ และสถานะ

ที่มา: นสพ.บ้านเมือง วันที่ 4 พฤศจิกายน 2555