ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

4 องค์กรด้านการเข้าถึงการรักษาสากล ทำหนังสือถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ หวั่นเร่งเจรจาการค้า-รับทริปส์พลัส ทำลายศักยภาพด้านยาของไทย ด้านเอฟทีเอ ว็อทช์จี้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลประกอบการตัดสินใจประกาศเจตนารมย์ร่วม TPP

เครือข่ายผู้มีเชื้อเอชไวอี/เอดส์ภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค (Asia Pacific Network of People Living with HIV/AIDS - APN+), องค์การหมอไร้พรมแดน ฝ่ายการรณรงค์เพื่อการเข้าถึงยา (Medecins sans Frontieres Access Campaign), สหพันธ์การเตรียมความพร้อมในการรักษาสากล (International Treatment Preparedness Coalition - ITPC) และองค์เพื่อการรักษา (TREAT Asia) ทำหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16พ.ย.55 ระบุว่า ทั้ง 4 องค์กรวิตกกังวลต่อการที่รัฐบาลจะเปิดการเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐฯและสหภาพยุโรปในกรอบต่างๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การเจรจาเหล่านี้จะบังคับให้ประเทศต่างๆต้องรับการคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้เข้มงวดไปกว่าความตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก หรือที่เรียกว่า ทริปส์พลัส ซึ่งนั่นจะบ่อนทำลายศักยภาพของประเทศไทยในการผลิตยาชื่อสามัญทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้นขอให้นายกรัฐมนตรีใส่ใจและพิจารณาผลของการประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยการใช้มาตรการยืดหยุ่นในความตกลงทริปส์เพื่อการเข้าถึงยาต้านไวรัสในเอเชีย ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ 29-31พ.ค.ที่ผ่านมา ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีหน่วยราชการและภาคประชาสังคมจากประเทศ กัมพูชา, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย เข้าร่วมประชุม “สาระสำคัญจากการประชุม ประกอบไปด้วย

1. สร้างความสมดุลย์ที่เป็นธรรมระหว่างการใช้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อส่งเสริมให้เกิดนวตกรรมด้านยาและเภสัชกรรมที่แท้จริงและสิทธิในการเข้าถึงยาจำเป็นอย่างถ้วนหน้า

2. ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อกำหนดแบบทริปส์ผนวก (TRIPS plus provision) ทุกรูปแบบในการเจรจาข้อตกลเขตการค้าเสรี  งานวิจัยที่นำเสนอโดย ดร. จิราพร ลิ้มปนานนท์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นว่าข้อกำหนดแบบทริปส์ผนวกจะส่งผลเสียหายทั้งในเชิงสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ  งานวิจัยยังพบอีกว่าถ้าประเทศไทยนำข้อกำหนดแบบทริปส์ผนวกมาบัญญัติเป็นกฏหมาย ประเทศจะต้องเผชิญกับราคายาที่สูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะค่าใช้จ่ายด้านยาภายในประเทศที่สูงขึ้นอย่างมหาศาล  ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะส่งผลทำให้ส่วนแบ่งตลาดของยาต้านไวรัสเอชไอวีที่ผลิตภายในประเทศลดลงอย่างมาก  สุดท้ายแล้ว จะส่งผลให้คนไทยไม่สามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสเอขไอวีในราคาต้นทุนต่ำได้อีกต่อไป

3. ต้องสร้างความมั่นใจว่ากฏหมายของประเทศจะต้องมีมาตรการยืดหยุ่นทริปส์ระบุไว้และนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาตรการยืดหยุ่นที่ควรกำหนดไว้ในกฎหมายของประเทศ ได้แก่

· หลักเกณฑ์การรับจดสิทธิบัตรที่มีมาตรฐานสูง ดังเช่นที่กำหนดไว้ในมาตรา 3(d) ของกฎหมายสิทธิบัตรของอินเดีย ซึ่งระบุคำนิยามและมาตรฐานที่เข้มงวดของ “ขั้นตอนการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น” ไว้อย่างชัดเจนและรัดกุม  ทั้งนี้ เพื่อขจัดและป้องกันสิทธิบัตรที่ไม่สมควรจะได้รับการคุ้มครองและสิทธิบัตรแบบไม่มีวันสิ้นสุดอายุ (ever-greening)  งานวิจัยเกี่ยวกับสิทธิบัตรแบบไม่มีวันสิ้นสุดอายุในประเทศไทย ที่นำเสนอโดย ดร. อุษาวดี มาลีวงษ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า คำร้องของสิทธิบัตรยาและเวชภัณฑ์กว่าร้อยละ 96 ในประเทศไทยเข้าเกณฑ์ที่ถือว่าเป็นสิทธิบัตรแบบไม่มีวันสิ้นสุดอายุไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

· มาตรการใช้สิทธิ์ตามสิทธิบัตรและการใช้สิทธิ์โดยรัฐ

· มาตรการคัดค้านสิทธิบัตรทั้งก่อนและหลังได้รับสิทธิบัตร ซึ่งจะทำให้สาธารณะสามารถคัดค้านคำขอสิทธบัตรหรือการอนุมัติคำขอสิทธิบัตรแบบที่ไม่สมควรจะได้รับความคุ้มครอง  นอกจากนี้ ควรสร้างความมั่นใจว่าประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการจัดการกับความต้องการด้านสาธารณสุข

4. ทบทวนและแก้ไขกฏหมายและระเบียบข้อกำหนดต่างๆ เพื่อขจัดมาตรการแบบทริปส์ผนวกออกไป ซึ่งมาตรการทริปส์ผนวกนั้นจะส่งผลร้ายต่อการเข้าถึงยาชื่อสามัญในราคาที่เป็นธรรม

5. จัดตั้งคณะทำงานระดับชาติที่มาจากหลายภาคส่วนและกำหนดยุทธศาสตร์ระดับประเทศเพื่อสร้างความเข้มแข็งและประสานงานร่วมกันในอันที่จะส่งเสริมการเข้าถึงยาในราคาที่เป็นธรรม  คณะทำงานดังกล่าวควรมาจากกระทรวงทบวงกรมที่เกี่ยวข้อง (หน่วยงานของรัฐที่ดูแลเรื่องเอชไอวีและเอดส์ของประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ สำนักสิทธิบัตร ฯลฯ) นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม

6. รับฟังเสียงของภาคประชาสังคมในเวทีพูดคุยในระดับประเทศและภูมิภาค โดยเฉพาะประเด็นที่จะมีผลกระทบต่อยาที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้ ซึ่งรวมถึงการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีด้วย

7. สนับสนุนให้เกิดภาคีความร่วมมือในภูมิภาค การสร้างความร่วมมือในภูมิภาคจะนำไปสู่จุดยืนในการเจรจาร่วมกันในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี ที่จะเจรจากับประเทศร่ำรวย  ทั้งนี้ ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะจัดการกับสิ่งท้าทายในปัจจุบันและอนาคตในเรื่องการเข้าถึงยาราคาต้นทุนต่ำและการนำมาตรการยืดหยุ่นทริปส์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  หนึ่งในความร่วมมือนั้น คือ การใข้กลไกอาเซียนในการเจรจาต่อรองและการประสานงานให้ได้มากที่สุด  จากประสบการณ์ที่ประเทศไทยผ่านมาอย่างช่ำชองในการนำมาตรการใช้สิทธิ์โดยรัฐและการผลิตยาภายในประเทศ  ประเทศไทยสามารถที่จะให้ความช่วยเหลืดด้านวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านได้”

ทางด้านนายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบ ออกมาชี้แจงผลดีผลเสียที่ได้พิจารณาและนำมาสู่ข้อสรุปในการแสดงเจตจำนงค์ เข้าร่วม TPP ภายในหนึ่งสัปดาห์ เพราะจนถึงขณะนี้สังคมยังไม่ทราบเลยว่า คณะรัฐมนตรีตัดสินใจบนฐานข้อมูลใด 

“ขั้นตอนที่กรมเจรจาฯได้ชี้แจงเมื่อวานนี้ พยายามโกหกใน 2 ขั้นตอน คือ ไม่ยอมนำร่างกรอบการเจรจามารับฟังความคิดเห็นประชาชนและศึกษาผลกระทบโดยหน่วยงานที่เป็นกลางก่อนการเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาทั้งที่เคยปฏิบัติมาในรัฐบาลก่อนๆ นอกจากนี้ฝ่ายเจรจาควรทำคือ ให้มีการหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้ข้อมูลกับฝ่ายนิติบัญญัติระหว่าง การเจรจา หลังจากนั้น ต้องนำผลการเจรจา (ร่างความตกลง) มาจัดรับฟังความเห็นประชาชนและศึกษาผลกระทบโดย หน่วยงานที่เป็นกลางก่อนการ เสนอข้อความเห็นชอบจากรัฐสภาเพื่อแสดงเจตนาผูกพัน”