ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

แม้ว่าจะมีข่าวน่ายินดีสำหรับกลุ่มผู้ป่วยเอชไอวีระยะแรก ซึ่งผลงานวิจัยล่าสุดของศูนย์วิจัยโรคเอดส์สภากาชาดไทย ค้นพบวิธีรักษาเชื้อร้ายให้หายขาดได้ หากกินยาตั้งแต่เริ่มต้นก่อนเชื้อแพร่ไปทั่วร่างกาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญโรคเอดส์เริ่มกังวลว่า คนส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดคิดว่าตรวจพบแล้วกินยาทันทีจะหายขาดทุกคน เนื่องจากข้อเท็จจริงแล้วยังมีเชื้อเอดส์ร้ายกาจอีกจำพวกหนึ่งที่แฝงตัวแพร่พันธุ์มานาน เป็นเชื้อดื้อยาที่สูตรยาต้านไวรัสเอชไอเอวีธรรมดาไม่สามารถพิชิตได้

นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยเอชไอวีที่เริ่มกินยาต้านไวรัสไปแล้ว แต่ร่างกายไม่ตอบสนองจำนวนมาก เพราะไม่รู้ว่าเชื้อเอดส์ที่ตัวเองติดมานั้นเป็นเชื้อดื้อยากลายพันธุ์ตัวฉกาจ โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อมาจากกลุ่มชายรักชาย ดังนั้นจึงอยากแนะนำให้แพทย์ส่งเชื้อไปตรวจพิสูจน์ยีนหรือสารพันธุกรรม ด้วยวิธี "พีซีอาร์" เพื่อยืนยันเป็นเชื้อดื้อยาหรือเชื้อกลายพันธุ์หรือไม่ เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยต้องกินยาไปโดยไม่ได้ผลและอาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 10 เท่าตัวในอนาคตได้

"ตอนนี้ไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเอดส์ดื้อยาว่ามีจำนวนเท่าไร เพราะหลายคนกินยาเป็นสิบปีค่อยดื้อยา หรือดื้อยาแล้วไม่รู้ตัว แต่กลุ่มน่าเป็นห่วงที่สุดคือ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ซึ่งติดมาจากคนป่วยเอดส์ที่ดื้อยาแล้ว เมื่อร่างกายรับเชื้อดื้อยาเข้าไป จะกลายเป็นผู้ติดเชื้อเอดส์ดื้อยาทันที พบว่ากลุ่มนี้มีประมาณร้อยละ 5 ของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่วนใหญ่เป็นเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายที่อายุยังน้อย กลุ่มนี้รับเชื้อมาจากเกย์รุ่นใหญ่ หลายคนมีพฤติกรรมกินยาไม่สม่ำเสมอ หรือกินๆ หยุดๆ ทำให้เชื้อดื้อยาง่ายกว่ากลุ่มผู้ป่วยอื่น"

นพ.มนูญแนะนำว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ควรมีนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลตรวจเชื้อดื้อยาแก่ผู้ป่วยรายใหม่ก่อนให้เริ่มต้นกินยาต้าน ด้วยวิธีพีซีอาร์มีค่าใช้จ่ายแค่ประมาณ 1,000 บาท เท่านั้น หากพบเป็นเชื้อเอดส์ดื้อยา แพทย์จะได้สั่งยาสูตรใหม่ทันที แตกต่างจากสูตรพื้นฐานทั่วไป ทั้งนี้สูตรยาพื้นฐานมี 2 กลุ่มคือ กลุ่มนิวคลีโอไซด์ และ กลุ่มนอนนิวคลีโอไซด์ ที่ผ่านมา "องค์การเภสัชกรรม" พัฒนาสูตรยาต้าไวรัสเอดส์ราคาถูกจากรวมยา 3 ตัวจาก 2 กลุ่มไว้ในเม็ดเดียวกัน คือ จีพีโอเวี ย(GPO-VIR) ประกอบด้วย เนวิราปีน (nevirapine), ลามิวูดีน (lamivudine) และสตาวูดีน (stavudine) ยาสูตรพื้นฐานจีพีโอเวีย เป็นยาต้านเอชไอวีที่หมอสั่งเป็นประจำ ค่ายาประมาณเดือนละ 700 บาท ต่อคน แต่ถ้าเป็นเชื้อเอดส์ที่ดื้อยาตัวใดตัวหนึ่งในนี้ หากกินไปพร้อม 3 ตัว จะทำให้ดื้อยาอีก 2 ตัวตามไปด้วย

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ 1. ผู้ป่วยกินยาไปก็ไม่ได้ผลดีอะไรขึ้น เพราะเป็นเชื้อเอดส์กลายพันธุ์ที่ร่างกายดื้อยาตัวนั้นไปแล้ว 2. ทำให้ดื้อยาตัวอื่นในกลุ่มยาต้านที่กินด้วย 3. ค่าใช้จ่ายในอนาคตจะแพงขึ้นอีกหลายเท่า โดย นพ.มนูญ ประเมินว่า หากผู้ป่วยรายใหม่ดื้อยาสูตรจีพีโอเวีย จะต้องกินยากลุ่มใหม่ซึ่งต้องจ่ายเงินเพิ่มจากเดือนละ 700 เป็นหลักหมื่นบาทขึ้นไป เนื่องจากต้องสั่งยากลุ่มนี้จากต่างประเทศเท่านั้น

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นอธิบายต่อว่า ยาต้านไวรัสเอดส์สูตรพื้นฐาน 3 ตัวนั้น สามารถทำลายเชื้อเอชไอวีได้อย่างรวดเร็วจากจำหน่ายหมื่นล้านตัวในเลือดลดลงเหลือไม่กี่หมื่นตัวในระยะเวลาเพียง 2-3 เดือน และสามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีในเลือดได้ทั้งหมดใน เวลา 6 เดือน เมื่อเชื้อเอชไอวีลดลง จำนวนเม็ดเลือดขาวสูงขึ้นตามลำดับ ทำให้ภูมิต้านทานของผู้ป่วยดีขึ้น ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม สามารถทำงาน และใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ

"อยากเตือนว่ายาต้านไวรัสปัจจุบันยังไม่สามารถทำให้หายขาดจากโรคเอดส์ได้ ที่ผ่านมาเป็นเพียงงานวิจัยเบื้องต้นที่ตั้งสมมุติฐานว่าหากกินเร็วและกินต่อเนื่องหลังพบเชื้อใหม่จะมีโอกาสหายได้ แต่ต้องพิสูจน์ทดลองอีกหลายปีกว่าจะยืนยันผลสำเร็จได้แน่ชัด เนื่องจากเชื้อเอชไอวีมักชอบหลบซ่อนอยู่ในอวัยวะต่างๆ เช่น สมอง ต่อมน้ำเหลือง ลำไส้ ตับ ไต ฯลฯ เมื่อใดหยุดกินยา เชื้ออาจแบ่งตัวและทำให้ตรวจพบในเลือดได้อีก ดังนั้นผู้ป่วยโรคเอดส์จึงจำเป็นต้องกินยาต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ไม่ควรหยุดยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ อย่างละเอียด" นพ.มนูญ กล่าว

ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวีทำได้ 3 วิธีคือ 1. ตรวจหาแอนติบอดี ตรวจได้หลังมีความเสี่ยงตั้งแต่ 2 สัปดาห์เป็นต้นไป 2. ตรวจด้วย ระบบแน็ต (NAT: Nucleic Acid Amplification Testing) คือการตรวจจากสารพันธุกรรม สามารถตรวจพบได้แม้รับเชื้อเอดส์ไปแค่ 5 วัน และการตรวจด้วยพีซีอาร์ หรือวิธีการตรวจจากยีน Polymerase Chain Reaction (PCR)

ด้าน "สมชาย" ตัวแทนกลุ่มชายรักชาย ยอมรับว่า การแพร่เชื้อเอดส์ในกลุ่มเกย์นั้นมีจำนวนมากกว่ากลุ่มอื่น โดยเฉพาะกลุ่มเกย์ที่ขายบริการทางเพศ เนื่องจากมีการย้ายถิ่นที่อยู่และที่ทำงานบ่อย จึงไม่ค่อยมีเวลาไปตรวจร่างกายหรือไปโรงพยาบาล ทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะมีสวัสดิการให้ยาฟรีก็ตาม

เมื่อรู้แล้วว่า "กลุ่มเสี่ยง" แพร่เชื้อกลายพันธุ์เป็นกลุ่มใด ก้าวต่อไปคือหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่จะเพิ่มการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการกินยา และการรักษาตัวกับกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษอย่างไร ก่อนเชื้อเอดส์ดื้อยาจะแพร่กระจายออกไปมากกว่านี้ !!

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันที่ 19 มีนาคม 2556