ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

 

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 23 เมษายน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม เข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก และการจัดซื้อวัตถุดิบยาพาราเซตามอล ขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นเดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์

รายงานข่าวแจ้งว่า พนักงานสอบสวนได้สอบถามประเด็นอำนาจการอนุมัติโครงการต่างๆ การรับรู้และอำนาจหน้าที่ของบอร์ด อภ.ซึ่ง นพ.พิพัฒน์ให้การว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตั้งกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด เพื่อหาบุคคลมารับผิดชอบในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

ด้าน นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เมื่อมีหน้าที่ต้องดูแลองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ดังนั้น ต้องทำให้ อภ.มีภาพลักษณ์ที่โปร่งใส ทั้งการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก หรือปัญหาการปนเปื้อนยาพาราเซตามอล ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาเวชภัณฑ์ฯ จะเห็นว่าทางกลุ่มผู้ใช้ยาจะกังวลว่า ยาของ อภ.ไม่มีคุณภาพหรือไม่ จึงต้องไปสร้างความเชื่อมั่นทั้งหมด "การทำงานต่างๆ ไม่ได้มีเจตนาไปตรวจสอบ หรือเอาผิดใคร แต่เป็นการตั้งคำถาม จากสิ่งหนึ่งก็เชื่อมไปสิ่งหนึ่ง ซึ่งไปพบเพิ่มเติม ทุกเรื่องเป็นเรื่องข้อสงสัย ผมไม่เคยพูดว่ามีการทุจริต พูดแค่ว่าผิดปกติ ซึ่งความล่าช้า 1-2 ปีก็ถือว่าผิดปกติ แต่หากอธิบายได้ก็ถือว่าจบ ส่วนเรื่องโรงงานผลิตยาเอดส์ที่ล่าช้ามา 1-2 ปี โดยให้เหตุผลว่าติดปัญหาเรื่องระบบทำความเย็น ผมก็บอกทาง อภ.ไปหาเหตุผล หลักฐานต่างๆ ว่า เพราะอะไรถึงล่าช้า ต้องหาผู้รับผิดชอบให้ได้ หากผู้รับเหมาทำงานช้าก็ควรต้องมีการเรียกปรับด้วย" นพ.ประดิษฐกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีดังกล่าวต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนในระดับกระทรวงหรือไม่ หรือต้องชงเรื่องให้ดีเอสไอ นพ.ประดิษฐกล่าวว่า ขณะนี้ได้ให้ทาง อภ.ไปดำเนินการหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมา ซึ่งหากมีทุกอย่างชัดเจนก็จบ แต่หากยังไม่กระจ่าง ต้องพิจารณาว่าจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 24 เมษายน 2556