ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้สานต่อแผนงานกำจัดโรคหัดในประเทศไทย ซึ่งเป็น โครงการตามพันธะสัญญานานาชาติ โครงการกำจัดโรคหัด ได้ถูกดำเนินการจนประสบผลสำเร็จครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และขยายความสำเร็จไปยังประเทศรอบข้าง จนประสบผลสำเร็จทั่วทั้งภูมิภาคในปี พ.ศ.2545 คือ สามารถหยุดยั้งการเกิดโรคหัด จากเชื้อในภูมิภาคได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีทั้งผู้ป่วยและเสียชีวิต จะมีก็เพียงผู้ป่วยที่ติดเชื้อที่มาจากนอกภูมิภาค ความสำเร็จ ในภูมิภาคอเมริกาทำให้ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก หันมาให้ความสนใจโครงการกำจัดโรคหัด โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่ง มีประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิก ได้มีข้อตกลงจากการประชุมสมัชชาอนามัยโลก ครั้งที่ 63 ในปี พ.ศ.2553 ให้ตั้งเป้าหมายการกำจัดโรคหัดให้สำเร็จทั่วทั้งภูมิภาคภายในปี พ.ศ.2563 จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวมาจนถึงข้อตกลงร่วมกันในภูมิภาค ประเทศไทยโดยกระทรวงสาธารณสุขจึงได้อนุมัติแผนโครงการกำจัดโรคหัด ซึ่งเป็นแผนดำเนินการระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553-2563 เนื่องจากการกำจัดโรคหัดจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนจึงจะดำเนินการได้เป็น ผลสำเร็จ กระทรวงสาธารณสุข จึงมอบหมายให้กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงาน ร่วมด้วยหน่วยงานร่วมดำเนินการ ประกอบด้วย กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยตั้งเป้าที่จะลดจำนวนผู้ป่วยโรคหัดในประเทศไทยลง ให้เหลือไม่เกิน 1 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ภายในปี พ.ศ.2563

ดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคหัดเป็นโรคไข้ออกผื่นที่พบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อกันโดยการไอ จาม หรือมีการพูดคุยกันในระยะใกล้ชิด โรคหัดแม้มีอัตราป่วยตายต่ำ ในเขตชุมชนที่เด็กทั่วไปมีสุขภาพแข็งแรง และสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังคงเป็นอันตรายในเด็กทารกทั่วไปหรือเด็กที่มี ภาวะทุพโภชนาการจากชุมชนที่ยากจนและห่างไกล โรคหัดที่มีภาวะอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม อุจจาระร่วง หากรักษาล่าช้าอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หรือถึงแม้ไม่เสียชีวิต เด็กก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน บั่นทอนพัฒนาการและการเจริญเติบโต โรคหัดในเด็กโตและผู้ใหญ่วัยทำงาน ทำให้ต้องหยุดเรียน หยุดงาน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และยังเป็นแหล่งแพร่โรคไปยังเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันโรคต่ำได้ ดังนั้นผู้ปกครองต้องพาบุตรหลานไปรับวัคซีนตามที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขนัดหมายให้ครบถ้วน

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 11 กรกฎาคม 2556