ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.สั่งเช็กสุขภาพและฉีดวัคซีนชาวไทยไปประกอบ พิธีฮัจญ์ ส่งทีมแพทย์ตามประกบ 42 คน ดูแล 24 ชม. หลังไวรัสโคโรน่า 2012 ระบาดหนัก

เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ทางการซาอุดีอาระเบีย เป็นศูนย์กลางการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ 2012 หรือเมิร์ส (MERS) ซึ่งเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการคล้ายซาร์ส อันเป็นกลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ที่ร้ายแรงถึงชีวิต ได้ประกาศเตือนให้นักแสวงบุญที่จะเดินทางไปยังนครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ในเดือนตุลาคมนี้ สวมใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่ท่ามกลางฝูงชนเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสเมิร์สระบาดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายการคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียยังแนะให้ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวอยู่ก่อนแล้ว ให้เลื่อนการเดินทางออกไป ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขซาอุดีอาระเบียยังออกคำแนะนำให้ประชาชนที่เข้าร่วมการแสวงบุญครั้งนี้ให้รักษาสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน ใช้กระดาษชำระปิดปากเมื่อไอหรือจาม และฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่จำเป็นก่อนเดินทางมายังซาอุดีอาระเบียเพื่อประกอบพิธีดังกล่าวอีกด้วย

ทั้งนี้ ไวรัสเมิร์สเริ่มแพร่ระบาดในคาบสมุทรอาหรับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2555 เป็นเชื้อโคโรน่าไวรัสที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัดธรรมดาและโรคซาร์ส โดยล่าสุดซาอุดีอาระเบียได้ประกาศผู้เสียชีวิตจากไวรัสเมิร์สเพิ่มอีก 2 ราย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตในประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 38 รายแล้ว ขณะที่องค์การอนามัยโลกยืนยันจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสเมิร์สแล้ว 80 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 44 ราย ทั่วโลก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปีนี้มีชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ และเมืองมะดีนะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 5 กันยายน ถึงวันนครเมกกะ และเมืองมะดีนะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 5 กันยายน ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 ประมาณ 13,000 คน ซึ่งร้อยละ 80 อยู่ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงมีนโยบายให้การดูแลสุขภาพกายและใจของผู้แสวงบุญอย่างเต็มที่ โดยก่อนไปได้ให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด (สสจ.) จัดคลินิกบริการตรวจสุขภาพ เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป เช่น ตรวจความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และจัดเตรียมยาประจำตัวให้พร้อม และฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียกำหนด คือ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (Influenza) และวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal meningitis) และวางระบบการป้องกันโรคทางเดินหายใจรุนแรงจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ 2012 หรือเมิร์ส (MERS) ซึ่งพบในพื้นที่ประเทศแถบตะวันออกกลางตั้งแต่เดือนกันยายน 2555 เป็นต้นมา โดยให้กรมควบคุมโรคแจกเจลล้างมือแอลกอฮอล์ และหน้ากากอนามัยเพิ่ม และสั่งการให้ สสจ.ที่มีผู้เดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์ ซึ่งมีประมาณ 53 จังหวัด จัดระบบการดูแลทั้งก่อนไปและกลับ เพื่อติดตามเฝ้าระวังโรคทุกคนหลังเดินทางกลับมาแล้วเป็นเวลา 15 วัน นอกจากนี้ สธ.จะส่งทีมแพทย์พยาบาลไทย จำนวน 42 คน แบ่งเป็น 3 ทีม ไปให้การดูแลรักษาพยาบาลชาวไทยมุสลิมตลอด 24 ชั่วโมง ด้วย

ทางด้าน นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเครือข่ายบริการสุขภาพที่ 12 เปิดเผยว่า เฉพาะในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ สธ.ได้จัดอบรมผู้นำกลุ่มในการเดินทาง หรือที่เรียกว่า "แซะห์" ให้เป็นอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม.ฮัจญ์ จำนวน  450 คน เป็นเครือข่ายดูแลสุขภาพผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ซึ่งจะอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย และมอบกระเป๋ายาเวชภัณฑ์พื้นฐาน เช่น ชุดทำแผล ยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้แพ้ ยาแก้เมารถ ยาแก้ปวดศีรษะ หน้ากากอนามัยเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เป็นต้น ติดตัวไปด้วย

ขณะที่ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. กล่าวว่า สธ.ได้จัดพิมพ์แผ่นพับ ข้อแนะนำการป้องกันตัวจากการติดเชื้อต่างๆ สามภาษา อังกฤษ-ไทย-อาหรับ แจกให้กับประชาชนที่เดินทางไปแสวงบุญและประกอบพิธีฮัจญ์ จำนวน 20,000 แผ่น ด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 14 กรกฎาคม 2556