ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ มูลนิธิโรคตับ และสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย จัดสัปดาห์รณรงค์เนื่องในวันตับอักเสบโลก ภายใต้คำขวัญ“ไวรัสตับอักเสบบี รู้ทัน ป้องกันรักษาได้” พร้อมให้โรงพยาบาลในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง ตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแก่ประชาชนอายุ 20 ปีขึ้นไป ในวันที่ 29 กรกฎาคม–2 สิงหาคมนี้

จากข้อมูลคาดว่าคนไทยประมาณ 1-2 ล้านคนติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และจะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งตับราว 250,000 คนในอนาคต วันนี้ (26 กรกฎาคม 2556) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสุรชัย เบ้าจรรยา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และนายวรา จันทร์มณี กรรมการผู้จัดการมูลนิธิโรคตับ ร่วมแถลงข่าว “ การรณรงค์เนื่องในวันตับอักเสบโลก” ประจำปี ๒๕๕๖ ภายใต้คำขวัญ “ไวรัสตับอักเสบบี รู้ทัน ป้องกันรักษาได้” “Viral hepatitis. Know it. Confront it.”

นายสุรชัย กล่าวว่า โรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก จากผลสำรวจขององค์การอนามัยโลก พบว่า ประชากรกว่า 240 ล้านคนทั่วโลก ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง และมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูงถึง 600,000รายต่อปี องค์การอนามัยโลกได้ประกาศอย่างเป็นทางการในการประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลกว่า ให้ทุกประเทศดำเนินการควบคุมป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบอย่างบูรณการ และกำหนดให้วันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันตับอักเสบโลก

สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงมีการดำเนินนโยบายเพื่อป้องกันควบคุมโรคไวรัสตับอักเสบบีมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดอัตราการติดเชื้อ ลดการป่วยตาย และลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งตับ ผ่านมาตรการต่างๆ อย่างบูรณการ เช่น สนับสนุนการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบีในหญิงตั้งครรภ์ การให้บริการวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีในเด็กเล็กและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง สนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาและการรักษาที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดการป่วยตาย และผลักดันให้ประชาชนที่มีความเสี่ยงสามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองเพื่อให้ได้รับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และทันเวลา

การณรงค์เนื่องในวันตับอักเสบโลกปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับมูลนิธิโรคตับ และสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย ร่วมกันดำเนินการรณรงค์ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน ในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง จัดสัปดาห์รณรงค์เนื่องในวันตับอักเสบโลก ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 2 สิงหาคม 2556 โดยมีกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบีแก่ประชาชน และบริการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแก่ประชาชนอายุ 20 ปีขึ้นไป ที่ไม่ทราบสถานการณ์ติดเชื้อของตน ได้รับบริการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม

ด้านนายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับแข็งและมะเร็งตับ ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับต้นๆ ในคนไทย โดยคาดว่าคนไทยประมาณ 1-2 ล้านคนติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และจะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งตับราว 250,000คนในอนาคต สำหรับไวรัสตับอักเสบบี นั้น มีวิธีการติดเชื้อคล้ายกับไวรัส HIV คือ ติดต่อผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่ง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และติดต่อจากแม่สู่ลูก โดยสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าการติดเชื้อ HIV ถึง 100 เท่า และมีอัตราการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูงกว่าอัตราการติดเชื้อ HIV ในคนไทย ถึง 5 เท่า

กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่ 1.ประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปหรือผู้ที่เกิดก่อนการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 2.ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัว เช่น บิดา/มารดา สามี/ภรรยา ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี 3.ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น 4.ชายรักร่วมเพศ 5.ผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ และ 6.ผู้ที่มีคู่นอนหลายคนหรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ส่วนอาการของป่วยไวรัสตับอักเสบบี จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง(ดีซ่าน) คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย ปวดท้อง(ตับ) หลายสัปดาห์ จากนั้นอาการจะหายไป บางคนจะกลายเป็นพาหะ ซึ่งต่อมามีโอกาสกลายเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง จนเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ “ในโอกาสนี้ จึงขอเชิญชวนให้คนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป รับบริการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้ที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน ในวันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 2 สิงหาคม 2556 นี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข 1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทร 02 590 3333 ”

ที่มา: http://www.thanonline.com