ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สปส.ชี้เพิ่มสิทธิประกันสังคมต้องใช้เวลา บัตรใบเดียวรักษาทุกรพ.ทำได้ยากหวั่นกองทุนแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว

นพ.สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน(รง.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม(สปส.) กล่าวถึงผลสำรวจของกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรีที่ขอเสนอให้รัฐบาลร่วมจ่ายเงินสมทบจากปัจจุบัน 2.75% เพิ่มเป็น 5% และอยากให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ในกรณีต่างๆ และให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทันที เมื่อจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคม รวมทั้งอยากให้ออกบัตรรับรองสิทธิ์ใบเดียวสามารถใช้สิทธิ์ รักษาพยาบาลได้กับทุกโรงพยาบาลในระบบประกันสังคม ว่า หากจะมีการ เพิ่มสัดส่วนการจ่ายเงินสมทบของรัฐบาลเป็นร้อยละ 5 นั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องมาหารือกันและไปหารือกับรัฐบาลโดยดูถึงเหตุผลและความจำเป็นในสิทธิประโยชน์แต่ละกรณี ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลจ่ายเงินสมทบ 2.75% นั้น แยกออกเป็นจ่ายสมทบในสิทธิประโยชน์กรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตายและคลอดบุตรในสัดส่วน 1.5% เท่ากับนายจ้างและลูกจ้างแต่สิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ ลูกจ้างและนายจ้างจ่ายฝ่ายละ 3% ขณะที่รัฐบาลจ่าย 1% และกรณีว่างงานนายจ้างและลูกจ้างจ่ายฝ่ายละ 0.5% และรัฐบาลจ่าย 0.25% แต่บางประเทศรัฐบาลไม่ได้ร่วมจ่ายเงินสมทบกรณีชราภาพและสงเคราะห์บุตรให้เลยเพราะถือว่าเป็นเรื่องระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

  ส่วนการที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ในกรณีต่างๆ นั้น ที่ผ่านมา สปส.ยึดหลักในสองเรื่องคือ ผู้ประกันตนต้องได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงและไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะด้านการเงินของกองทุนประกันสังคมในระยะยาว ดังนั้น การเพิ่มสิทธิประโยชน์แต่ละกรณีของสปส. จึงต้องดำเนินการอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป โดยพิจารณาถึงเหตุผลและ ความจำเป็น เพื่อไม่ให้กระทบต่อความมั่นคงของกองทุน ทั้งนี้ ขณะนี้ สปส.กำลังศึกษาเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ อยู่ว่าจะมีความเป็น ไปได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงสิทธิประโยชน์ในบางกรณีตนเห็นด้วย เช่น กรณีเจ็บป่วยเมื่อเข้าเป็นผู้ประกันตนและจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนแล้ว ก็ควรสามารถใช้สิทธิ์ได้ทันทีเพราะเป็นเหตุจำเป็น หรือกรณีแรงงานต่างด้าวเมื่อครบกำหนดทำงานในไทย 4 ปีเมื่อกลับประเทศก็ควรจ่ายให้เป็นเงินบำเหน็จ

นอกจากนี้ในเรื่องการออกบัตรรับรองสิทธิ์ใบเดียวสามารถใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้กับทุกโรงพยาบาลในระบบประกันสังคมนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรดำเนินการเพราะระบบรักษาพยาบาลของสปส.ใช้วิธีจ่ายเงินแบบเหมาจ่ายโดยให้ผู้ประกันตนแต่ละคนมีโรงพยาบาลประจำของตนเองที่สามารถรักษาพยาบาลได้เพื่อให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้ หากให้ใช้บัตรใบเดียวรักษาได้ทุก โรงพยาบาลเกรงจะเกิดปัญหาผู้ประกันตนไปเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หลายแห่งและสปส.จะแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาไม่ไหว ซึ่งมี บทเรียนจากกองทุนสุขภาพในหลายประเทศมาแล้ว

"ปัจจุบันสปส.เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนที่เคลื่อนย้ายไปทำงานนอกภูมิลำเนา เช่น บ้านอยู่ต่างจังหวัดแต่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯสามารถเลือกโรงพยาบาลได้ว่าจะเลือกโรงพยาบาลใกล้ที่ทำงานในกรุงเทพฯ หรือโรงพยาบาลในภูมิลำเนา รวมทั้งที่ผ่านมาสปส.พยายามสร้างเครือข่ายโรงพยาบาลโดยยึดตามสังกัด เช่น โรงพยาบาลสังกัด โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) โรงพยาบาล สังกัดกทม.เพื่อให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารักษาพยาบาลได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ขณะนี้ทั้ง 3 กองทุนสุขภาพไม่ว่าจะเป็น กองทุนประกันสังคม กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการได้มีระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินร่วมกันโดยให้สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาล หากผู้ประกันตนเจ็บป่วยฉุกเฉินก็ใช้บริการได้"

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ 7 สิงหาคม 2556