ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2556 สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เครือข่ายเพื่อแรงงานข้ามชาติ (MWRN.) มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF.) ออกแถลงการณ์ด่วน ให้รัฐบาลกำหนดความชัดเจนเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติกรณีการสิ้นสุดระยะเวลาทำงานของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ปัจจุบันมีจำนวนแรงงานข้ามชาติกว่า 3 ล้านคนทำงานอยู่ในประเทศไทย ในจำนวนนั้นกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นแรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่า ซึ่งตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา แรงงานเหล่านี้เดินทางเพื่อเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยไม่มีเอกสาร ส่วนมากทำงานประเภทงานสกปรกที่คนไทยปฏิเสธไม่ทำและงานประเภทงานอันตราย พวกเขาถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตามคนงานเหล่านี้ยังคงเผชิญกับการเอารัดเอาเปรียบและนโยบายด้านแรงงานข้ามชาติที่ยังไม่ชัดเจน 

ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2546 ได้มีการลงนามในข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาล (MOU) ในการยกสถานะแรงงานข้ามชาติที่ลักลอบเข้ามาทำงานในประเทศไทยให้เป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย จนเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 แรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่าได้รับโอกาสในการพิสูจน์สัญชาติ โดยจะต้องเป็นแรงงานข้ามชาติที่มีเอกสารเป็นหนังสือเดินทางชั่วคราวประเภท 3 ปี ที่ใช้เดินทางได้เฉพาะในประเทศไทยและประเทศพม่าเท่านั้น วีซ่า 2 ปีที่สามารถต่ออายุวีซ่าได้ทุกๆสองปีและใบอนุญาตทำงาน ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 มีแรงงานพม่ากว่า 70,000 คนเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยผ่านระบบ MOU 

นอกจากนี้ ปี พ.ศ. 2555 มีการจัดตั้งศูนย์เพื่อพิสูจน์สัญชาติ 7 แห่งทั่วประเทศ การจัดตั้งศูนย์เพื่อพิสูจน์สัญชาติย่อยๆ อีก 11 แห่ง พร้อมทั้งรัฐบาลได้ขยายกรอบของเวลาการพิสูจน์สัญชาติจนถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา 

ปัจจุบัน มีแรงงานข้ามชาติเพียง 750,000 คนเท่านั้นที่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติและได้รับใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้อง และในจำนวนนี้มีแรงงานข้ามชาติเพียงแค่ 200,000 คน ที่เข้าถึงหลักประกันสังคมและหลักประกันทางสุขภาพ ทั้งๆที่รัฐบาลพม่าได้ออกหนังสือเดินทางให้กับแรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่าให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยกว่า 1.7 ล้านคน

ทั้งนี้ ตามข้อตกลง MOU เมื่อปี พ.ศ. 2546 ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่า แรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่าที่อยู่ในประเทศไทยครบ 4 ปี จำเป็นต้องเดินทางกลับไปยังประเทศพม่าเป็นระยะเวลา 3 ปีก่อนที่เดินทางกลับเข้ามาทำงานใหม่ในประเทศไทยได้ แต่นโยบายนี้ไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นตัวแรงงานเอง นายจ้าง หรือแม้แต่รัฐบาล เนื่องจากทุกฝ่ายคำนึงถึงด้านเศษรฐกิจเป็นหลัก กล่าวคือ แรงงานข้ามชาติจำเป็นต้องทำงานอยู่ในประเทศไทยเพื่อทำงานหาเงินส่งกลับไปให้ครอบครัวที่ประเทศพม่า ส่วนนายจ้างไม่ต้องการสูญเสียคนงานที่มีทักษะในการทำงานอยู่แล้วโดยเฉพาะในช่วงขาดแคลนแรงงาน ในขณะที่รัฐบาลพม่ายังไม่พร้อมที่จะรับแรงงานสัญชาติพม่ากลับบ้านเกิดในช่วงพัฒนาและการเปิดประเทศ 

แต่ในทางกลับกันมีข้อมูลปรากฎออกมาว่าแรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่าที่ทำงานในประเทศไทยครบ 4 ปี จะต้องเดินทางกลับไปประเทศ อาจจะเป็นระยะเวลา 1 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปี หากพวกเขาต้องการที่จะเดินทางกลับมาเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็ยังไม่มีนโยบายหรือคำประกาศของรัฐที่ชัดเจนออกมาให้เห็น

ในขณะนี้แรงงานข้ามชาติสัญชาติสัญชาติพม่าหลายแสนคน ทำงานครบและเกินกำหนด 4 ปีแล้ว และไม่สามารถต่อวีซ่าเพื่อที่จะทำงานได้อีก จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ของนโยบายที่ไม่ชัดเจนของรัฐทำให้แรงงานข้ามชาติหลายแสนคนจากประเทศพม่ากำลังเผชิญกับชะตากรรมที่ท้าทายอยู่ในประเทศไทย คนงานถูกหลอก ถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกข่มขู่จากนายหน้าทั้งชาวไทยและชาวพม่า หรือแม้แต่จากบริษัทจัดหางานและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องชัดเจนเกี่ยวกับการต่ออายุวีซ่าหรือความจำเป็นในการเดินทางกลับไปประเทศพม่าแล้วกลับเข้าประเทศไทยใหม่อีกครั้งโดยผ่านขั้นตอนนายหน้าแบบระบบ MOU ที่มีค่าใช้จ่ายสูง 

ตอนนี้มีแรงงานข้ามชาติหลายคนยอมเสียค่าใช้จ่ายกว่า 15,000 บาท/ต่อคน (500 เหรียญสหรัฐ) ในการทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ หรือเพื่อเปลี่ยนชื่อและนามสกุลของตนเอง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะมีผลต่อการใช้สิทธิประกันสังคมที่คนงานเหล่านั้นถืออยู่จากการทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ แต่ยังมีคนงานและนายจ้างเลือกที่จะใช้เอกสารปลอมและทิ้งหนังสือเดินทางและใบอนุญาตทำงานเล่มจริงเพื่อให้ตนเองมีสถานะผิดฏหมาย และในที่สุดนโยบายที่ให้คนงานอยู่ในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฏหมายต้องล้มเหลวต่อไป

สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ร่วมดัวย คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา มีความกังวลอย่างมากต่อการพัฒนาในเชิงลบที่เป็นผลมาจากความไม่ชัดเจนต่อนโยบายด้านแรงงานข้ามชาติของรัฐดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าตามข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

1. ขอให้รัฐบาลไทยมีการเปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติสามารถเข้าถึงประกันสังคมและหลักประกันสุขภาพได้มากขึ้นพร้อมทั้งให้มีความชัดเจนในการดำเนินการเกี่ยวกับประกันสังคมและหลักประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติ

2. ขอให้รัฐบาลไทยกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจนเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติที่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติและแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยผ่านระบบ MOU และแรงงาน ข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยหลังจาก 4 ปี พร้อมทั้งรณรงค์ให้แรงงานข้ามชาติ นายจ้าง และส่วนที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน

3. ขอให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าดำเนินการอย่างจริงจังกับขบวนการนายหน้าค้าแรงงาน ข้ามชาติเพื่อให้แรงงานข้ามชาติไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ

4. ขอให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าเผยแพร่ข้อมูลให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบอย่างทั่วถึง