ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย - เมื่อเร็วๆ นี้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงสาธารณสุขประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยให้ความสำคัญด้านสาธารณสุข 7 สาขาได้แก่ การเฝ้าระวังโรค การควบคุมมาตรฐานอาหารและยา การแพทย์พื้นบ้าน การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง การควบคุมโรคติดต่อและโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคระบาดข้ามเขตแดนการส่งเสริมสุขภาพ และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวประชากรแนวชายแดน  โดยจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพ.ศ. 2556-2558  เตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน  โดยเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร และการศึกษาวิจัยร่วมกัน

ที่ โรงแรม Mandalay Hill Resort  เมือง มัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ นายแพทย์ประดิษฐ  สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และศาสตราจารย์ พี เธท คิน (Prof. Pe Thet Khin) รัฐมนตรีสาธารณสุขแห่งสหภาพเมียนมาร์ ร่วมประชุมความร่วมมือด้านสาธารณสุขไทยเมียนมาร์  โดยมีผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการจากกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 2 ประเทศ ร่วมประชุมประมาณ 60 คน ในการประชุมครั้งนี้ได้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือหรือเอ็มโอยู ด้านสาธารณสุข (MOU :Memorandum Of Understanding on Health Cooperation) ซึ่งเป็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรก

บันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีอายุ 5 ปี  โดยมีความร่วมมือใน 7 สาขาได้แก่ 1.การเฝ้าระวังโรค  2.การควบคุมมาตรฐานอาหารและยา  3.การแพทย์พื้นบ้าน 4.การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง 5.การควบคุมโรคติดต่อและโรคติดต่ออุบัติใหม่ โดยเฉพาะโรคระบาดข้ามเขตแดน 6.การส่งเสริมสุขภาพ7.การพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามพรมแดน

รูปแบบของความร่วมมือประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร เช่น การฝึกอบรม การศึกษาดูงาน  และการศึกษาวิจัยร่วมกันเช่น การแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพร โดยจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม (Joint Action Plan) ตามข้อตกลงดังกล่าวระหว่างปี 2556-2558  ซึ่งจะเป็นการเตรียมพร้อมประเทศเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558  สำหรับงบประมาณที่ใช้ตามแผนดังกล่าวประกอบด้วยงบประมาณของแต่ละประเทศและเงินสนับสนุนจากองค์กรและหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น กองทุนโลกเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์ วัณโรคและมาลาเรีย เป็นต้น โดยมีระบบและกลไกติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ด้านนายแพทย์ชาญวิทย์  ทระเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า แผนปฏิบัติการความร่วมมือดังกล่าว ประกอบด้วย การเฝ้าระวังโรค การป้องกันควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยจะมีเฝ้าระวังการดื้อยาของเชื้อเอดส์ มาลาเรีย และวัณโรคและการจัดตั้งห้องปฏิบัติการอาหารและยาขนาดย่อยเพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังยาปลอมและยาที่ไม่ได้มาตรฐาน 4 แห่ง ที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียวดี ทวายและเกาะสอง การซ้อมแผนรับมือโรคระบาดและภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขการพัฒนาระบบรักษาพยาบาลและการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน โดยเน้นการพัฒนาการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของกลุ่มแรงงานต่างด้าวและประชากรข้ามเขตแดน ด้วยการจัดให้มีหลักประกันสุขภาพที่เหมาะสม เช่น บัตรประกันสุขภาพโดยมีเป้าหมายเพิ่มความสำเร็จการรักษาผู้ป่วยวัณโรคหายขาดจากร้อยละ 85 เป็นร้อยละ 90  รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขของทั้ง 2 ประเทศ และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว  สำหรับพื้นที่เป้าหมายจะดำเนินการร่วมกันใน 4 จังหวัดคู่แฝด ได้แก่ เชียงรายกับท่าขี้เหล็ก  ตากกับเมียวดี กาญจนบุรีกับทวาย และระนองกับเกาะสอง โดยมีกรมควบคุมโรครับผิดชอบหลัก และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมดำเนินการ

สาขาการแพทย์พื้นบ้านและสมุนไพร จะเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนาบุคลากร เช่น การแลกเปลี่ยนศึกษาดูงานของบุคลากรสาธารณสุขและนักศึกษาด้านการแพทย์พื้นบ้าน การพัฒนาระบบการควบคุมคุณภาพและการผลิตสมุนไพรให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาและควบคุมคุณภาพยาสมุนไพร  โดยมีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นหน่วยงานหลัก

สาขาอาหาร ยาและเครื่องสำอาง จะเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านระเบียบและกฎหมายอาหารและยา การพัฒนาบุคลากร โดยการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนศึกษาดูงานของบุคลากร มีสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นหน่วยงานหลัก  สำหรับสาขาการส่งเสริมสุขภาพ จะมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพนักเรียน วัยรุ่นและผู้สูงอายุ  รวมทั้งการส่งเสริมด้านโภชนาการ จะมีการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนศึกษาดูงาน  โดยมีกรมอนามัยเป็นหน่วยงานหลัก

ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความร่วมมือกับสหภาพเมียนมาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชายแดนมาตั้งแต่ พ.ศ.2543  เน้นหนักเรื่องโรคมาลาเรีย เอดส์วัณโรค  พบว่ามีพัฒนาการดีขึ้นเป็นลำดับ  โดยมีประชากรเมียนมาร์อาศัยตามแนวชายแดนประมาณ 1 ล้าน 6 แสนคน มีพื้นที่ติดต่อกับไทย 16 จังหวัด(Township) ใน 4 รัฐ ได้แก่ รัฐฉาน (Shan) คะยา(Kayah) คะยิน (Kayin)มอญ (Mon) และเขตทะนินทะยี (Tanintharyi)  มีโรงพยาบาลของเมียนมาร์อยู่ที่ชายแดน 2 แห่ง และคลินิก 1 แห่ง ขณะนี้คาดว่าจะมีชาวเมียนมาร์ประกอบอาชีพในประเทศไทย กว่า 1 ล้านคน

นอกจากนี้ นายแพทย์ประดิษฐ์ กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยมีพรหมแดนติดกับเมียนมาร์ 10 จังหวัด การเคลื่อนย้ายแรงงานมีอย่างต่อเนื่องส่งผลให้การควบคุมโรคเป็นไปได้ยาก ขณะเดียวกันประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน จึงต้องนำเข้าแรงงานต่างด้าวเข้ามา และเพื่อให้แรงงานต่างด้าวได้เข้าถึงระบบบริการสุขภาพ การแพทย์ อันจะเป็นผลดีต่อประเทศไทยในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ

รัฐบาลไทยจึงมีนโยบายให้แรงงานต่างด้าวและครอบครัวทุกคน ต้องผ่านการตรวจสุขภาพจากกระทรวงสาธารณสุข และมีหลักประกันสุขภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ประกันสังคม หรือบัตรประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขโดยได้ออกประกาศกระทรวงฯให้ต่างด้าวทุกคนที่มีอยู่ในประเทศไทย 3 กลุ่มซื้อหลักประกันสุขภาพที่ถูกที่สุดในโลก ซึ่งได้เปิดขายบัตรไปแล้วเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556

โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้

1.กลุ่มผู้ใช้แรงงานในภาคอุตสาหกรรมและรอเข้าสู่ระบบประกันสังคมกำหนดซื้อในอัตราคนละ 1,150 บาท ประกอบด้วย ค่าตรวจ 600 บาท ,และค่าประกันสุขภาพ 550 บาท มีอายุคุ้มครอง 90 วัน

2.กลุ่มคนต่างด้าวทั่วไปที่ใช้แรงงานและไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมเช่น รับจ้างทำงานภาคเกษตร ประมง หรือติดตามครอบครัว  อัตราคนละ 2,800 บาท ประกอบด้วยค่าตรวจสุขภาพ 600 บาท และค่าประกันสุขภาพ 2,200 บาทมีอายุคุ้มครอง 1 ปี

3.กลุ่มเด็กอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ อัตราคนละ 365 บาท มีอายุคุ้มครอง 1 ปี นับจากวันซื้อบัตรประกันสุขภาพ

ทั้งนี้แรงงานต่างด้าวจะได้รับการตรวจสุขภาพ คัดกรองโรคต่างๆอาทิ เชื้อซิฟิลิส โรคเท้าช้าง ภาทวะโรคเรื้อน การตั้งครรภ์ อนามัยแม่และเด็ก เจ็บป่วยฉุกเฉิน โรคเอดส์ หรือโรคที่ม่ค่าใช้จ่ายสูง แต่จะไม่ครอบคลุมเรื่องของ โรคจิตการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติด การรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก อุบัติเหตุจากรถที่ใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ การผสมเทียม ผ่าตัดแปลงเพศหรือการเสริมสวยใดๆที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การเปลี่ยนอวัยวะ และการทำฟันปลอม

ทั้งนี้การลงงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในเบื้องต้น และให้สิทธิด้านสุขภาพ จะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งว่า ประเทศไทยจะสามารถผลักดันให้แรงงานต่างด้าวที่อยู่นอกระบบ ออกมาแสดงตนเพื่อรับสิทธิในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้หรือไม่ ????

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย  วันที่ 25 กันยายน 2556