ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.ย้ำเตือนประชาชนไทย ลดกินหวาน ไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 6-8 ช้อนชา ให้ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มรสหวานจัดอื่นๆ และเพิ่มการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันป่วยเป็นโรคเบาหวาน เผยผลสำรวจล่าสุดในปี 2554 พบป่วยเบาหวานแล้วกว่า 3 แสนคน โดย 1 ใน 3 ไม่รู้ตัวว่าป่วย และยังมีคนเสี่ยงจะป่วยเพิ่มอีก 2.4 ล้านคน องค์การอนามัยโลกประกาศอันตรายเทียบเท่าเอดส์ แนะประชาชนทั่วไปหากมีอาการกระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย กินจุแต่น้ำหนักตัวลด หรือในเด็กอ้วนหากมีรอยดำปรากฏที่รอบต้นคอ ใต้รักแร้ หรือขาหนีบ ถูไม่ออก ขอให้รีบพาไปปรึกษาแพทย์

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การอนามัยโลกและสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ ได้กำหนดให้เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันควบคุมโรคเบาหวานพร้อมกันทั่วโลก และกำหนดคำขวัญในการรณรงค์ในปี 2556 ว่า “พิทักษ์อนาคตไทย พ้นภัยเบาหวาน” (Diabetes : protect our future) เน้นการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจแก่กลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย และประชาชนทั่วไป ให้ตระหนักภัยจากโรคเบาหวาน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อป้องกันการป่วย ทั้งนี้ ในปี 2548 องค์การอนามัยโลกประกาศให้โรคเบาหวานเป็นโรคที่อันตรายเทียบเท่าโรคเอดส์ เนื่องจากแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากเบาหวานประมาณ 3.2 ล้านคน ขณะที่ผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ราว 3 ล้านคน รายงานล่าสุดขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานกว่า 371 ล้านคน หากไม่มีการดำเนินการใดๆ จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นเป็น 552 ล้านคนในปี 2573

แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวว่า สำหรับประเทศไทยจากการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน ปี 2554 พบผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่กว่า 300,000 คน โดย 1 ใน 3 ไม่รู้ตัวว่าป่วย และพบคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเสี่ยงป่วยเบาหวานอีก 2.4 ล้านคน สาเหตุที่คนไทยป่วยเป็นเบาหวานกันมาก เนื่องจากบริโภคน้ำตาลสูงถึงคนละ 29.6 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา ซึ่งสูงเกินกว่ามาตรฐานถึง 3 เท่าตัว โดยองค์การอนามัยโลกกำหนดให้บริโภคน้ำตาลเฉลี่ยคนละ 6-8 ช้อนชาหรือประมาณ 24 กรัมต่อวัน หรือไม่เกินคนละ 10 กิโลกรัมต่อปี ประการสำคัญยังพบว่ามีคนไทย 17 ล้านคน ดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มรสหวานจัดอื่นๆ ทุกวัน โดยในน้ำอัดลม 1 กระป๋องขนาดบรรจุ 325 ซีซี. มีปริมาณน้ำตาลทราย 35 กรัม บางครัวเรือนนิยมแช่น้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มรสหวานจัดอื่นๆ ในตู้เย็นไว้ดื่มแทนน้ำเปล่า เพราะเชื่อว่าดื่มแล้วจะสดชื่นกว่าน้ำเปล่าทั่วไป ซึ่งจะเป็นอันตรายจะเป็นการสร้างค่านิยมติดหวาน เพิ่มความเสี่ยงเป็นเบาหวาน

โรคเบาหวานขณะนี้พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไปเป็นภัยที่เกิดเงียบๆ สัญญาณเตือนของโรคเบาหวานในผู้ใหญ่ ได้แก่ ปัสสาวะบ่อยและมากกว่าปกติ คอแห้ง กระหายน้ำ และดื่มน้ำมากผิดปกติ หิวบ่อย กินจุแต่น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ซึมและหายใจหอบเหนื่อยง่าย ปัสสาวะทิ้งไว้มีมดตอม เป็นแผลเรื้อรัง แผลหายช้า คันตามผิวหนัง หากมีอาการเหล่านี้ขอให้พบแพทย์ ส่วนในเด็ก ผู้ปกครองสามารถสังเกตได้จากน้ำหนักตัวและรูปร่างของลูกว่าเริ่มมีภาวะอ้วน หากมีรอยดำปรากฏที่รอบต้นคอ ใต้รักแร้หรือขาหนีบ ถูไม่ออก เด็กบางรายอาจปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน ขอให้สงสัยว่าลูกอาจเป็นเบาหวาน ให้พาไปพบแพทย์ที่สถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ

แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2557นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะให้สถานบริการทั่วประเทศ ตรวจคัดกรองเบาหวานครอบคลุมคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทุกพื้นที่ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 เพื่อให้การดูแล ให้คำปรึกษา และความรู้การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ทั้งผู้ที่ยังไม่ป่วย ผู้ที่เสี่ยงป่วย และผู้ที่ป่วยแล้ว เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้มีสุขภาพดี โดยใช้หลัก 3 อ. 2ส. ได้แก่ 1.กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่พอเหมาะ กินผักผลไม้เพิ่มขึ้น กินปลาและเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง รสหวานหรือเค็มมากเกินไป ขนมหวาน ขนมกรุบกรอบ และน้ำอัดลม 2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 วัน วันละไม่ต่ำกว่า 30 นาทีและ3.ทำจิตใจอารมณ์ให้แจ่มใส ส่วน 2 ส. คือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มสุรา นอกจากนี้ควรจำกัดชั่วโมงการเล่นคอมพิวเตอร์และดูโทรทัศน์ของลูกหลานไม่ให้เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องจากเด็กจะกินอาหารเพิ่มขึ้น

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานแล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดใน 3เรื่องคือ ควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาควบคุมอาการ เพราะโรคนี้ยังไม่มียารักษาหายขาด ซึ่งการปฏิบัติตัวดังกล่าว จะช่วยให้การรักษาของแพทย์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น