ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เครือเบสท์กรุ๊ป ขยายธุรกิจรับเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์เครื่องช่วยในการรักษามะเร็งแบรนด์ "SENNEX" จากเยอรมนี

นายสิทธิชัย เจริญขจรกุล ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทในเครือเบสท์กรุ๊ป, Dr.Hellers ชาวสวีเดน 1 ใน 10 ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาของโลก และ Dr.King Ton C.H. Oui ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ร่วมกันให้สัมภาษณ์"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงความพร้อมในการนำเข้าอุปกรณ์ ทางการแพทย์ภายใต้แบรนด์ "SENNEX" ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยในการรักษาก้อนเนื้องอกและมะเร็ง หนึ่งในเทคโนโลยีทางเลือกใหม่จากประเทศเยอรมนีว่า บริษัทในเครือเบสท์กรุ๊ป ได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ช่วยรักษาเนื้องอกหรือมะเร็ง "SENNEX" จากประเทศเยอรมนี โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลทั่วประเทศ

ด้าน Dr.Hellers ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอก กล่าวเสริมว่า การเข้ามาเมืองไทยครั้งนี้ นอกจากจะมาร่วมงานกับเครือเบสท์กรุ๊ปแล้ว ยังได้เชิญ Dr. King Ton C.H. Oui ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อถ่ายทอดนวัตกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ชนิดนี้ให้กับเครือบริษัทเบสท์กรุ๊ปฯด้วย

สำหรับเครื่องช่วยในการรักษาเซลล์มะเร็งเป็นผลงานการค้นคว้าวิจัยของ "SENNEX" ซึ่งได้ใช้เวลาในการค้นคว้าและวิจัยมาอย่างยาวนานกระทั่งประสบความสำเร็จ ซึ่งหลักการทำงานของเครื่องชนิดนี้คือ การฉีดยาเคมีบำบัดเข้าบริเวณเซลล์มะเร็ง และใช้กระแสแรงดันสูงถึง 1,000 โวลต์จากเครื่อง SENNEX เพื่อเปิดเซลล์มะเร็งให้ยาเคมีบำบัดแทรกซึมเข้าสู่เซลล์มะเร็ง โดยกลไกในการออกฤทธิ์ของยาจากเครื่อง SENNEX จะไปตัดสาย DNA ที่อยู่ในเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์ไม่เกิดการแบ่งตัว ไม่สามารถเจริญต่อไปได้และตายในที่สุด

"การรักษาเซลล์มะเร็งด้วยเครื่องดังกล่าวไม่ทำให้เกิดการเจ็บปวดและใช้เวลาไม่มาก โดยระยะเวลาที่ใช้ประมาณ 15-20 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนเนื้อและเซลล์มะเร็งแต่ละบุคคล"

ส่วน Dr. King Ton C.H. Oui ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์  อธิบายว่า ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องรักษามะเร็งดังกล่าวแล้วปรากฏว่าได้ผลดี และมีใบรับรองมาตรฐาน CE (Com munity European) สำหรับเครื่องมือแพทย์ เพื่อแสดงความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องของสหภาพยุโรปแล้ว

โดยปัจจุบันกลุ่มที่ให้การยอมรับวิวัฒนาการรักษาด้วยเครื่อง SENNEX อาทิ ประเทศรัสเซีย รวมถึงประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีน และอินเดีย เป็นต้น ทั้งนี้กำลังวางแผนในการเผยแพร่เทคโนโลยีนี้ไปยังประเทศต่างๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 17 - 20 พ.ย. 2556

เรื่องที่เกี่ยวข้อง