ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ข่าวหุ้น - คุณอรุณ จาก ลาดพร้าว 101  กรุงเทพฯ ถามถึงสถานการณ์ของหุ้นโรงพยาบาลในช่วงหลังๆ มีแค่ BGH หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่สร้างสีสันให้กับการลงทุนเพียงตัวเดียว ส่วนหุ้นโรงพยาบาลตัวอื่นๆ กลับไม่มีสีสันอะไรเลย จึงเกรงว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะกินรวบแต่เพียงผู้เดียว และจะทำให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะที่ตัวโรงพยาบาลก็รวยเอา รวยเอา ดิฉันถึงอยากคัดค้านการควบรวมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ทราบว่าเป็นแนวความคิดที่ถูกต้องไหมค่ะ

สิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกกับทุกฝ่ายก็คือ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด แต่ความคิดดังกล่าวจะได้รับการยอมรับเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดนั้นสร้างประโยชน์ได้มากแค่ไหน และต้องไม่ลืมว่า ในแง่ของการทำธุรกิจไม่มีอะไรสมปาระโยชน์กับทุกฝ่าย หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มีได้ก็ต้องมีเสีย!!

หากเข้าใจแนวความคิดดังกล่าวก็จะทำให้ทุกคนเข้าใจถึงการกระทำของ BGH หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) มากขึ้น!!

โดยสิ่งที่ผู้บริหาร BGH วิเคราะห์ให้ฟังอย่างมีเหตุผลก็คือ เขาเชื่อว่านับตั้งแต่ปี 2556 ธุรกิจโรงพยาบาลขนาดเล็กซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวมีโอกาสที่จะถูกไล่ซื้อจากต่างชาติมากขึ้น โดยต่างชาติมองธุรกิจโรงพยาบาลเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจเข้ามาลงทุนอย่างจริงจัง

ดังนั้นการควบรวมกิจการระหว่างโรงพยาบาลด้วยกันน่าจะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย และยังเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการทำธุรกิจอีกทางหนึ่ง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก เพียงแต่ในประเทศไทยมีข้อติดขัดในแง่ของกฏกติกาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเรื่องของภาษีก็มีรายละเอียดมาก จึงต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการทำแต่ละดีล ในประเทศไทยถึงไม่ค่อยมีการควบรวมกิจการกันมากนัก

สิ่งที่น่าสนใจอีกมุมหนึ่งก็คือ วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปี 40  แม้จะมีข้อเสียที่มีการพูดถึงหลายด้านด้วยกัน แต่ก็มีประโยชน์ต่อการตลาดของโรงพยาบาลเอกชนในปัจจุบันไม่น้อย เพราะนอกจากจะทำให้คนไทยเลือกใช้บริการโรงพยาบาลที่เหมาะกับกำลังจ่ายของตัวเองมากขึ้น และยังเป็นการแบ่งกลุ่มลูกค้าของโรงพยาบาลเอกชนได้ชัดเจนขึ้นด้วย

ที่สำคัญก็คือโรงพยาบาลที่อยู่รอดจากวิกฤตเศรษฐกิจส่วนมากล้วนเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งมีรูปแบบการให้บริการที่เด่นชัด มีการรวมกลุ่มที่แข็งแกร่ง และมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน ทำให้ภาวะการแข่งขันของโรงพยาบาลในปัจจุบันแม้จะทวีความรุนแรงขึ้น เพราะมีจำนวนผู้เล่นน้อยลง แต่การแข่งขันก็เป็นไปในเชิงคุณภาพมากขึ้นนะครับ

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะที่ผ่านมาคนมีเงินส่วนใหญ่ก็เลือกใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน ส่วนคนที่มีเงินน้อยก็เลือกใช้บริการโรงพยาบาลของภาครัฐ

อาจารย์ถึงเชื่อว่า การควบรวมน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าผลเสีย และควรจับตาดูหุ้น BGH จะมีพัฒนาการอะไรที่มีนัยสำคัญอีกหรือไม่ เพราะตัวโรงพยาบาลได้ประกาศจุดยืนเรื่องการเดินหน้าควบรวมอย่างเป็นทางการ จึงน่าจะมีดีลที่เป็นประโยชน์กับตัวโรงพยาบาลเกิดขึ้นอีกในอนาคต

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น วันที่ 21 พฤศจิกายน 2556