ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังอันตรายจากต้นดองดึง เป็นพืชที่มีดอกสวยแต่มีพิษอันตรายถึงชีวิต ไม่ควรเก็บมีบริโภค ทั้งผลอ่อนผลแก่-เมล็ด–ใบ-หัว–ราก-ลำต้น พิษจะก่ออันตราย เสียชีวิตภายใน 3-20 ชั่วโมง

แนะไม่ควรปลูกพืชมีพิษ ใกล้ผักสวนครัวกินใบ ผล หรือยอดอ่อน เพราะอาจเก็บผิดพลาดได้ ล่าสุดพบเสียชีวิตแล้ว 1 รายที่ จ.ศรีสะเกษ แนะหากพบผู้ป่วยจากการกินลูกดองดึง ให้ช่วยชีวิตเบื้องต้นโดยให้กินไข่ขาวหรือดื่มนมทันที เพื่อทำให้อาเจียนออกมาให้มากที่สุด เพื่อลดการดูดซึมพิษเข้าร่างกาย และรีบส่งไปโรงพยาบาลทันที

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากการเฝ้าระวังปัญหาอาหารเป็นพิษ ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบมีรายงานผู้เสียชีวิตที่เกิดจากการรับประทานลูกดองดึง ในเดือนสิงหาคม 2556 จำนวน 1 ราย เป็นเพศหญิง อายุ 63 ปี อาศัยอยู่ที่ อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ โดยรับประทานผลดองดึง 2 ผล ที่นำมานึ่งรวมกับปลานิล มีอาการหลังจากรับประทานไปแล้วประมาณ 4 ชั่วโมง มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน อาเจียนหลายครั้ง ปวดบิดท้องอย่างรุนแรง ถ่ายเหลวปริมาณมาก และเสียชีวิตอย่างรวดเร็วในอีก 1 วันต่อมา ผลการสอบสวนโรคของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข พบว่าผู้ที่เก็บผลดองดึงไปปรุงอาหารไม่รู้จักพืชดองดึง และเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลของต้นสลิด ซึ่งปลูกติดกับต้นดองดึงและเลื้อยพันกัน ในปี 2548 มีรายงานเสียชีวิตจากกินใบดองดึงต้ม 1 ราย ที่ จ.ชัยภูมิ

แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อว่า ต้นดองดึงเป็นพืชที่มีพิษอยู่ในทุกส่วน ทั้งผลอ่อน -ผลแก่-เมล็ด–ใบ-หัว–ราก-ลำต้น หากรับประทานผลอ่อนของดองดึงเพียง 1 ผล หรือเมล็ดเพียง 1 เม็ด หลังรับประทานไปแล้ว 2-6 ชั่วโมง จะรู้สึกแสบร้อนในปาก ลำคอเหมือนเป็นโรคกระเพาะ รายที่อาการรุนแรง มีอาการคอแห้ง กระหายน้ำ ปวดศีรษะ ปวดตามตัว ปากและผิวหนังชา คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำหลายครั้ง อุจจาระมีเลือดปน มีเลือดออกภายในร่างกาย ปวดบิดท้อง หายใจลำบากเนื่องจากขาดออกซิเจน กลืนไม่ลง ชัก หมดสติ ช็อกจากการเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย มีภาวะไตวายอาจเสียชีวิตภายใน 3-20 ชั่วโมง ในการช่วยเหลือผู้ป่วยเบื้องต้นหากสงสัยว่ารับประทานพืชพิษ ให้ผู้ป่วยกินไข่ขาวหรือดื่มนมทันที ให้อาเจียนออกมาให้มากที่สุด เพื่อลดการดูดซึมพิษเข้าร่างกาย แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยใกล้บ้านทันที ซึ่งขณะนี้ยังไม่มียาต้านพิษของดองดึง

จากกรณีการเสียชีวิตดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข ขอย้ำเตือนประชาชนอย่ารับประทานพืชที่ไม่รู้จัก หรือ ไม่แน่ใจ และไม่ควรปลูกต้นดองดึงหรือพืชที่รับประทานไม่ได้ ในบริเวณบ้านหรือปลูกปะปนกับผักสวนครัวที่เป็นไม้เลื้อยคล้ายกัน เช่น เถาสลิด เถาตำลึง เถามะระ ทำให้แยกได้ยาก และประชาชนควรช่วยกันสอนหรือถ่ายทอดความรู้พืชมีพิษต่างๆ ที่มีในท้องถิ่นให้ลูกหลานรู้จัก หากมีพืชชนิดนี้เกิดขึ้นที่โรงเรียน ควรล้อมรั้วปักป้ายชื่อของพืชและอันตรายให้นักเรียนรู้จัก เพื่อไม่นำมาบริโภค

ทางด้าน นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ดองดึงมีชื่อเรียกภาษาถิ่นหลายชื่อคือ ดาวดึงส์ ดองดึง หัวขวาน หัวฟาน พันมหา ก้ามปู ต้นไม้ชนิดนี้เป็นพรรณไม้เถา มีหัวหรือเหง้าใต้ดิน ดอกคล้ายกับหัวขวานหรือฝักกระจับ สีสวยสะดุดตา พืชชนิดนี้จัดเป็นเครื่องยาในตำรับยาแผนไทยหลายขนาน ได้แก่ยาสามัญประจำบ้านแผนไทยตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เช่นตำรับยากษัยเส้น หรือยาแก้ปวดเมื่อย เป็นต้น แต่การใช้ต้องใช้โดยผู้ที่มีความรู้เท่านั้นและใช้อย่างระมัดระวัง โดยสรรพคุณทางด้านแพทย์แผนไทยมีดังนี้ หัวมีรสร้อน เมา แก้โรคเรื้อน แก้แมลงสัตว์กัดต่อย หัวสดตำพอกหัวเข่า แก้ปวดข้อ แก้ปวดกล้ามเนื้อ ฟกบวม

ในเหง้าและเมล็ดของดองดึงจะมีสารอัลคาลอยด์หลายชนิดเช่นโคลชิซีน (colchicines) , สารกลอริโอซีน (gloriosine), สารซุปเปอร์บีน (superbine) ที่มีพิษอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โดยมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะสารโคลชิซีน เป็นสารที่มีพิษต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ และมีคุณสมบัติในการแบ่งเซลล์ ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันนำสารโคลชิซีนจากดองดึง มารักษาโรคเก๊าท์ และมะเร็งบางชนิดได้ โดยพิษจากการใช้สารชนิดนี้ มีอาการเจ็บปวดตามตัวเหมือนถูกเข็มแทงปากและผิวหนังชา คลื่นไส้รุนแรง ตามด้วยท้องเสีย มีเลือดปน หายใจลำบาก อาจเสียชีวิตได้ใน 3-20 ชั่วโมง

ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยข้อมูลการใช้ดองดึงในต่างประเทศพบว่า อินเดียมีการใช้ประโยชน์ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน เช่น ใช้ยางจากปลายใบ รักษาสิว ผงที่ได้จากหัวผสมน้ำมันมะพร้าว ใช้รักษาโรคผิวหนังหรือถูกงูกัดและแมงป่องกัด หรือผสมน้ำทาศีรษะคนหัวล้าน ใช้น้ำคั้นจากใบรักษาเหา ส่วนหัวใช้รักษาอาการช้ำบวมและเคล็ดขัดยอกต่างๆ ที่อัฟริกามีการใช้น้ำต้มจากใบดองดึง นำไปทาแก้ไอ แก้ปวด บรรเทาอาการคัดจมูก ใช้สูดดมแก้แพ้