ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

บ้านเมือง - "ชานมไข่มุก" ถือเป็น"เครื่องดื่ม"สุดฮิต ของคนทุกเพศทุกวัย ที่หารับประทานกันได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ จนกระทั่งริมสองฝั่งถนน

เป็นเครื่องดื่มเย็น มีหลากรสชาติให้เลือกสรร ทั้งกาแฟ หรือชารสผลไม้ต่างๆ ที่มีรสชาติหอมหวาน อีกทั้งยัง "เคี้ยว" ได้อย่างเพลิดเพลิน และสนุกปากไปกับ  "เม็ดไข่มุก"สำหรับราคาก็มีตั้งแต่ระดับ 20 บาท ไปจนถึงหลายร้อยบาท

ซึ่ง "ผู้บริโภค" บางราย นิยมดื่ม "ชานมไข่มุก" โดยเฉลี่ยตั้งแต่วันละ1แก้ว ไปจนถึงหลายแก้วต่อวัน จนลืมคำนึงถึง "ภัยร้าย"ที่แฝงตัวมากับ "ชานมไข่มุก" หรือที่เรียกกันว่า"โรคอ้วน" นั่นเอง

สำหรับส่วนผสมหลักของ "ชาไข่มุก"ประกอบไปด้วย ชา ครีมเทียม น้ำตาลทราย นมข้นหวาน ไข่มุก และผงเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่แต่งกลิ่นและรส อาทิ กลิ่นแอปเปิ้ล ส้มองุ่น ลิ้นจี่ เป็นต้น

โดยพญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือ หมอผิง ผู้อำนวยการสถาบันความงามโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง และเวชศาสตร์วัยยุวัฒน์ได้ให้ความเห็นต่อ "ภัยเงียบที่แฝงตัวมากับชานมไข่มุก" ว่า

การที่ "ชานมไข่มุก" กลายเป็นที่ฮอตฮิตนั้น ไม่เพียงแต่เพราะรสชาติ แต่มีหลักการทาง "วิทยาศาสตร์" ที่สามารถนำมาอธิบายได้ว่า"ชาไข่มุก" เป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและไขมันสูงซึ่งสมองของคนเรานั้น หากถูกอาหารใดกระตุ้นด้วย ความหวาน ความมัน หรือความเค็ม สมองชอบใจในอาหารนั้นๆ และเข้าใจไปว่าอาหารนั้นอร่อย

เมื่อเกิดความอร่อย ก็ยิ่งทำให้ "ผู้บริโภค"อยากจะหามารับประทานบ่อยๆ และยิ่งถ้ามี"คาเฟอีน" ผสมอยู่ด้วย ก็จะยิ่งทำให้สมองติดใจได้ง่ายขึ้นไปอีก!!!

เรียกได้ว่า ความหวาน-มัน และคาเฟอีนใน "ชานมไข่มุก" เล่นกล หลอกให้ "สมอง" ติดใจ"หมอผิง" ยังเปรียบเปรยว่า กระแสการเกิดของตลาด "ชานมไข่มุก" และ "ร้านกาแฟ" ทั่วทุกมุมตึก ของเมืองไทย ทำให้ชวนคิดว่า "คนไทยเรานี่ ขี้เซา" ต้องปลุกตัวเองตื่นด้วยฤทธิ์ของ"คาเฟอีน" และ "น้ำตาล"

อีกทั้ง การโฆษณาชวนเชื่อ ที่ผิดๆ ในการบริโภค "ชานมไข่มุก" ว่า เป็นเครื่องดื่มสุขภาพก็ยิ่งเป็นอันตรายสำหรับคนที่ต้องการ "ลดน้ำหนัก"

เมื่อเกิดรูปแบบ "ความเชื่อ" ที่ผิดๆ ก็ส่งผลให้ "ผู้บริโภค" หลายคนเลือกที่จะดื่ม"ชานมไข่มุก" แทนการบริโภค "อาหาร" เพราะคิดว่าจะช่วยลดน้ำหนักได้

"หมอผิง" ระบุว่า ความเชื่อผิดๆ ในการบริโภคชานมไข่มุกว่า เป็นเครื่องดื่มที่สามารถลดความอ้วนได้นั้น แท้จริงแล้วรับประทาน"เกาเหลา" ทั้งชาม ยังอ้วนน้อยกว่าเสียอีก!!!

เนื่องด้วย "แคลอรี่" ใน "ชานมไข่มุก"ในแต่ละแก้วนั้น มีความแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 200 กิโลแคลอรี่ ไปจนถึง400กิโลแคลอรี่

แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ ปริมาณ "น้ำตาล"ที่มีปริมาณตั้งแต่ 8 ช้อนชาต่อแก้ว ไปจนถึง11ช้อนชาต่อแก้ว!!!

"หมอผิง" ระบุว่า โดยทั่วไปในหนึ่งวันเราไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินกว่า 6 ช้อนชาในผู้หญิง และ 9 ช้อนชา ในผู้ชาย อีกทั้งปริมาณไขมันอิ่มตัวจากนม ที่ใส่รวมอยู่ด้วยนั้นก็มีปริมาณไม่น้อย

อย่างบางสูตรใช้ "ครีมเทียม" ซึ่งมี"ไขมันทรานส์" ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพยิ่ง กว่าไขมันชนิดอื่น เพราะนอกจากจะเพิ่มเสี่ยงต่อการเป็น "โรคหลอดเลือดหัวใจ" แล้วยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอีกด้วย!!!

ส่วน "เม็ดไข่มุก" ที่ผู้บริโภคหลายคนต่างเพลิดเพลินไปกับการ "เคี้ยว" ที่ให้ความรู้สึกหนึบๆ หนับๆ นั้น ก็คือ "แป้ง" เพราะทำจาก "มันสำปะหลัง" นำมาต้มกับ "น้ำตาล"ให้ "แคลอรี่" ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสูตรตั้งแต่ 2 - 4 กิโลแคลอรี่ต่อเม็ด อีกทั้งยังไม่มีคุณค่าทางสารอาหาร อาทิ วิตามิน แร่ธาตุหรือสารต้านอนุมูลอิสระใดๆ อีกด้วย

ดังนั้นเมื่อผู้บริโภค "ชานมไข่มุก" รู้เช่นนี้ จะเสียเงินหลายสิบบาท เพื่อซื้อ "ชานมไข่มุก"หนึ่งแก้ว ที่ให้ "พลังงาน" เกือบจะเทียบเท่าข้าวหนึ่งจาน น้ำตาลที่เกินเกณฑ์กำหนดต่อหนึ่งวัน ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์คาร์โบไฮเดรต และคาเฟอีน อีกหรือไม่

ฉะนั้น "ชานมไข่มุก" เครื่องดื่มยอดฮิตของคนไทย จึงเป็นสูตรสำเร็จที่ก่อให้เกิด

ผลลัพธ์ 3 ประการคืออ้วน แก่ และเสพติด!!!

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง