ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

Hfocus -เมื่อพูดถึง “การตรวจสุขภาพ” คนส่วนใหญ่ต่างมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นตัวช่วยในการป้องกันและรักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่มในกรณีที่ตรวจพบโรคหรือความผิดปกติของร่างกาย แต่การตรวจสุขภาพที่เป็นไปในลักษณะแบบผิดทิศผิดทางอาจให้ผลในทางที่กลับกัน ซึ่งปัจจุบันการตรวจสุขภาพส่วนใหญ่ไปเพื่อมุ่งค้นหาโรคและอาการป่วยเป็นหลัก แทนที่จะเป็นการตรวจเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ทั้งยังเน้นที่ตรวจวิเคราะห์โดยห้องปฎิบัติการและการใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก ไม่เพียงแต่ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพพุ่งสูงขึ้น แต่ในหลายกรณียังเป็นการตรวจที่เกินความจำเป็น และนับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

นพ.วิวัฒน์ โรจนพิทยากร ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในฐานะคณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็นนโยบายการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับประชาชน สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6 กล่าวว่า ปัญหาการตรวจสุขภาพต้องแยกออกเป็น 2 ประเด็น คือ การเข้าถึงการตรวจสุขภาพที่มีความจำเป็นเพื่อป้องกันและคัดกรองความเสี่ยง ปัจจุบันสถานการณ์นี้ดีขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการตรวจมะเร็งปากมดลูก ช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้มีผู้หญิงที่เข้ารับการตรวจน้อยมาก เพราะไม่เข้าใจ ขาดความตระหนัก รวมถึงอายที่จะรับการตรวจ แต่หลังจากการรณรงค์ต่อเนื่องส่งผลให้อัตราการตรวจเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 60 ในกลุ่มผู้หญิงอายุ 30-60 ปี สะท้อนให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่เริ่มตื่นตัวต่อการดูแลและตรวจสุขภาพมากขึ้น

นพ.วิวัฒน์ กล่าวว่า กระแสการตื่นตัวในการตรวจสุขภาพนี้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ส่งผลให้เกิดปัญหาการตรวจสุขภาพที่เกินความจำเป็นตามมา มีการขานรับกระแสโดยเฉพาะจากภาคธุรกิจเอกชน ที่มีการส่งเสริมจัดแพ็คเก็จบริการตรวจสุขภาพอย่างแพร่หลาย และมีการทำเป็นบัตรของขวัญตรวจสุขภาพตั้งแต่ราคาไม่ถึงพันจนถึงหลายหมื่นบาท ตั้งแต่เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ การเอ็กซเรย์ เป็นต้น ทั้งที่การตรวจหลายอย่างนอกจากไม่มีความจำเป็นแล้ว พบว่ายังส่งผลเสียตามมาจากการตรวจในกรณีที่ออกมาเป็นผลลวง ซึ่งนอกจากทำให้เกิดความกังวลแล้ว อาจทำให้เสียเงินจากการมุ่งรักษาโรคต่อเนื่อง  

“มีตัวอย่างกรณีของผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 45 ปี ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ แต่เนื่องในวันแม่ลูกๆ พาไปตรวจสุขภาพเพื่อเป็นของขวัญ ที่มีการโฆษณาขายแพ็คเก็จในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผลการตรวจอยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นค่า CA 125 มีค่าสูง 50 IU/m ทำให้ผู้ป่วยและญาติกังวลและกลัวว่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ แพทย์จึงแนะนำให้ทำอัตราซาว์ดบริเวณอุ้งเชิงกราน ผลพบว่า รังไข่ข้างขวามีขนาด 14 cc จากปรกติซึ่งอยู่ที่ 10 cc จึงให้มีการตรวจเพิ่มเติมโดยการส่องกล้องผ่านหน้าท้อง แต่เนื่องจากผู้หญิงรายนี้สามารถเบิกสิทธิข้าราชการได้ จึงย้ายไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดปีกรังไข่ข้างซ้ายด้วยการส่องกล้องหน้าท้องและส่งชิ้นเนื้อตรวจ ปรากฎว่าผลคือไม่พบเซลมะเร็ง แต่หลังจากนั้นได้เกิดอาการปวดท้อง ต้องผ่าตัดฉุกเฉินและพบว่ามีหนองบริเวณช่องท้องจากลำไส้ทะลุ ผู้ต้องต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 7 วันจึงกลับบ้านได้ นี่เป็นเพียงแต่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น” นพ.วิวัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้การตรวจสุขภาพในกรณีที่ผลการตรวจพบว่า ไม่มีอาการหรือป่วยเป็นโรค แต่อาจส่งผลลบต่อผู้รับการตรวจได้เช่นกัน อย่างกรณีผู้ที่สูบบุหรี่จัด หากผลเอ็กซเรย์ปอดพบว่า ปอดปกติไม่เป็นอะไรเลย อาจทำให้บุคคลดังกล่าวเกิดความประมาทและสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่พยายามลดการสูบลง แทนที่จะไม่ป่วยก็เลยป่วยแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องระวังเช่นกัน

ดังนั้น การตรวจสุขภาพที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่การตรวจเพื่อมุ่งค้นหาว่าป่วยเป็นโรคอะไร แต่ต้องเป็นการตรวจในขณะที่ยังไม่ป่วย เน้นหาปัจจัยเสี่ยงความเป็นไปได้ว่าอาจป่วยด้วยโรคอะไร เพื่อแนะนำให้มีการดูแลสุขภาพ ปรับพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อโรคดังกล่าว การตรวจใช้วิธีการซักประวัติผู้ป่วยเป็นหลัก หากพบความผิดปกติจึงให้มีการตรวจเพิ่มเติม ซึ่งหลายโรคสามารถใช้วิธีการซักประวัติผู้ป่วยได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้การตรวจโดยห้องปฏิบัติการ อย่างโรคมะเร็งลำไส้ ในคนที่ไม่มีใครในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้ ไม่จำเป็นต้องตรวจเลย จึงใช้วิธีการซักประวัติได้บวกกับการถามถึงอาการที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารได้ ไม่ใช่การข้ามกระโดดตรวจโดยใช้วิธีส่องกล้องเลย ซึ่งถือว่าเป็นการตรวจที่เกินจำเป็น อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการตรวจซักประวัติต้องใช้เวลาการตรวจอย่างน้อย 15-30 นาที ทำให้เสียเวลาในการตรวจผู้ป่วย ดังนั้นแพทย์จึงมักถามเพียงแค่ 2-3 คำถามและใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการแทน

สำหรับการแก้ไขปัญหาการจัดแพคเก็จตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลเอกชนที่เกินความจำเป็นนั้น นพ.วิวัฒน์ กล่าวว่า การจะเข้าไปควบคุมโดยตรงคงทำได้ลำบาก จึงต้องเน้นที่การให้ความรู้ประชาชนว่าการตรวจสุขภาพ อะไรที่เป็นการตรวจที่จำเป็น และอะไรเป็นการตรวจที่เกินความจำเป็น เพื่อให้ประชาชนสามารถเป็นผู้เลือก ซึ่งในที่สุดจะทำให้โรงพยาบาลเหล่านี้ต้องจัดแพ็คเก็จการตรวจสุจภาพที่เหมาะสมออกมาขายแทน อีกทั้งยังมีองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคที่สามารถเข้ามาดูแลตรงนี้ นอกจากนี้การตรวจสุขภาพนั้น การตรวจบางอย่างไม่จำเป็นต้องทำการตรวจทุกปี บางโรคตรวจเพียงแค่หนเดียวก็พอ อย่างมะเร็งตับที่มีสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบบี หรือมะเร็งปากมดลูกที่ควรตรวจทุก 3 ปี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องเสียเงินตรวจสุขภาพโดยไม่จำเป็นได้

“ก่อนหน้านี้ผมมีอาการเหมือนจะเป็นโรคหัวใจ ภรรยาผมก็ไปหาแพคเก็จตรวจหัวใจมาให้ราคาสูงถึง 12,000 บาท แต่เนื่องจากผมเป็นแพทย์ที่มีความรู้ จึงไม่เห็นด้วย และเลือกที่จะไปทำการตรวจเฉพาะคลื่นหัวใจแทนซึ่งก็ทราบผลเหมือนกัน เสียเงินเพียงแค่หลักพันบาทเท่านั้น ดังนั้นทำอย่างไรที่จะกระจายความรู้แบบนี้ให้ประชาชนรับทราบถึงการตรวจที่จำเป็นเท่านั้น”    

นพ.วิวัฒน์ กล่าวว่า บริการตรวจสุขภาพที่เกินความจำเป็นนั้น นอกจากโรงพยาบาลเอกชนแล้ว โรงพยาบาลในส่วนภาครัฐมีปัญหาเช่นเดียวกัน โดยมีการเบิกค่าใช้จ่ายการตรวจที่เกินความจำเป็น โดยเฉพาะจากกองทุนระบบสวัสดิการข้าราชการที่ให้สิทธิ์การตรวจสุขภาพถึง 16 รายการ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศระบุว่า หากมีการจัดแนวทางการตรวจสุขภาพที่เหมาะสมและคุ้มค่า จะช่วยประหยัดงบประมาณการตรวจสุขภาพในระบบนี้ลงได้ถึง 1 ใน 3 และนำเงินที่ประหยัดนี้มากระจายให้กับผู้ที่อยู่ในระบบและยังเข้าไม่ถึงการตรวจสุขภาพที่จำเป็นแทน

ในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6 นี้ นพ.วิวัฒน์ กล่าวว่า เรื่องการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับประชาชนได้ถูกนำเสนอและบรรจุเป็นหนึ่งในวาระการประชุม เนื่องจากต่างมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น และนับวันยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหา แม้แต่ทางแพทย์สภา สมาคมและสภาวิชาชีพแพทย์สาขาต่างๆ ต่างให้ความสำคัญ ซึ่งจะมีวางแนวทางการตรวจสุขภาพที่เหมาะสม ทั้งวิธีการตรวจ การวิเคราะห์ และความเหมาะการตรวจของแต่ละช่วงวัย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ไม่เพียงแต่ลดการสูญเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นที่มีมูลค่าจำนวนมาก แต่ยังเป็นการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและให้ได้รับบริการตรวจสุขภาพที่ดีและเหมาะสม