ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

การชุมนุมของมวลมหาประชาชนไม่ว่านัดใหญ่หรือนัดเล็ก เครือข่ายอาสาสมัครทางการแพทย์และชมรมแพทย์ชนบทได้การนำทีมอาสาออกมาทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของมวลมหาประชาชนอย่างสม่ำเสมอมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา และมีจุดยืนที่ชัดเจน พร้อมที่จะเคียงข้างและเป็นกองหนุนมวลมหาประชาชนจนกว่าจะได้ชัยชนะ ชูคำขวัญ "ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง" และยืนหยัดในแนวทาง "การเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการลาออก เพื่อเปิดทางสู่การปฏิรูป" คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมวิชาชีพสุขภาพทุกสาขาอาชีพในเกือบทุกองค์กรทุกเครือข่ายมีความเห็นและจุดยืนที่ตรงกันอย่างเป็นเอกฉันท์

รัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบันได้หมดความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมืองนับตั้งแต่การลักหลับออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนเกิดการอารยะขัดขืนคัดค้านอย่างกว้างขวาง และภาคส่วนสาธารณสุขคือโรงพยาบาลต่างๆ ได้ออกมาอารยะขัดขืนแสดงจุดยืนอย่างพร้อมเพรียงกว่า 500 แห่ง ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ เพราะทุกคนเห็นถึงเจตนาที่เลวร้ายในการใช้กลไกเสียงข้างมากมาล้างผิดคนโกง ทำลายนิติรัฐและนิติธรรม รวมทั้งทำลายศรัทธาสุดท้ายของประชาชนต่อระบอบการเมืองแบบตัวแทนในกรอบกติการัฐธรรมนูญในปัจจุบัน จนเกิดวิกฤตศรัทธาต่อกติกาประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมาก แม้จะมีการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าหลังการเลือกตั้งจะมีการปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปสังคมไทยอย่างลึกซึ้งและถึงราก และเสียงข้างมากในสภาจะไม่ถูกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนเช่นนี้อีกในอนาคต

บทเรียนที่สำคัญอีกประการคือ การที่วงการสาธารณสุขโดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนได้รับผลกระทบทางลบจากนโยบายและการทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของประดิษฐ สินธวณรงค์ ก็ยิ่งสะท้อนถึงความเสื่อมของนักการเมืองในระบอบตัวแทน ประดิษฐใช้อำนาจทางการเมืองแต่งตั้งคนของตนเองขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญ โดยไม่สนใจเสียงผู้ปฏิบัติงาน และแต่ละคนที่เลือกมาก็ด่างพร้อย หวังกินยาวสร้างเครือข่ายอำนาจอธรรมที่หยั่งรากลึก เพียงเพื่อตนเองและลิ่วล้อ

ดังนั้น ทางออกของประเทศชาติในวันนี้จึงไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะกลับไปสู่ระบบเดิมอีก แต่วันนี้ทางออกที่มีความหวังกว่าคือการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง จึงนำมาสู่การที่วิชาชีพในวงการสุขภาพร่วมใจกดดันขับไล่รัฐบาลรักษาการให้ลาออกไป เพื่อเปิดทางสู่การปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปประเทศไทย

วันนี้ข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขส่วนใหญ่ได้แสดงอารยะขัดขืนอย่างเข้มข้นแล้ว ด้วยการไม่ร่วมสังฆกรรมใดๆ กับรัฐบาล ไม่ไหว้ไม่มองหน้า ไม่ทำตาม นโยบายหรือคำสั่งใดๆ จากรัฐมนตรีและรัฐบาล เว้นแต่งานบริการพื้นฐานเพื่อการดูแลประชาชน การแสดงอารยะขัดขืนคืออำนาจของปัจเจกบุคคลของคนทุกคน หากองคาพยพของราชการทุกกระทรวงออกมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับมวลมหาประชาชนเช่นเดียวกับปรากฏการณ์อารยะขัดขืนต่อรัฐบาลของกระทรวงสาธารณสุข เมื่อนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในสังคม เดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศไทยโดยไม่ต้องมีการรัฐประหาร

การเลือกตั้งตามกติกาเดิมนั้นประดุจยาขนานเก่าที่หมดอายุแล้ว กินไปก็ไม่หาย มีแต่จะเกิดโทษมหันต์ต่อประเทศที่กำลังป่วยหนักจากการคอร์รัปชัน การร่วมใจผลักดันให้มีการปฏิรูปประเทศไทยก่อนการเลือกตั้งต่างหากที่เป็นแนวทางการรักษาที่ถูกต้องกว่าและมีความหวังกว่า เป็นการใช้ยาที่ถูกขนานกว่า เพื่อให้ประเทศไทยมีอนาคตที่มีหวัง แต่แน่นอนว่ายาขนานนี้จะต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ จะดีจะร้ายก็ดีกว่ากินยาเก่าที่หมดอายุแล้วอย่างแน่แท้  แพทย์ชนบทและวิชาชีพสุขภาพต่างก็เชื่อมั่นเช่นนี้ จึงอาสาร่วมแรงกายแรงใจออกมาสนับสนุนมวลมหาประชาชนอย่างหนักแน่นและจริงจัง

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน วันที่ 14 มกราคม 2557