ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

จิตแพทย์ห่วงวัยรุ่น ที่ฮิต “เซลฟี่” บนโลกออนไลน์ คาดหวังคน กดไลค์ ระวัง! หากติดหนัก จะกลายเป็นคนขาดความมั่นใจ กระทบอนาคตประเทศ อาจขาดผู้นำ เพราะเด็กไทยกลายเป็นผู้ตาม พัฒนาตัวเองยาก

จิตแพทย์ห่วงวัยรุ่นไทยที่ฮิต “เซลฟี่” ถ่ายรูปตัวเองแล้วนำไปเผยแพร่บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ควรทำเป็นบางโอกาส หากมากไปและจดจ่อว่าจะมีใครเข้าดูและกดไลค์ แสดงความคิดเห็น ชี้เป็นสัญญาณเตือน บอกถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง อาจส่งผลถึงอนาคตเด็ก กลายเป็นคนโลเล จับผิดคนอื่นเก่ง ขี้อิจฉา พัฒนาตนเองยาก และผลต่อต่อประเทศคือ สังคมจะขาดผู้นำ ขาดนักพัฒนาสร้างสรรค์ เพราะกังวลความสำเร็จ กลัวการล้มเหลว อาจมีความผิดปกติอารมณ์ได้ง่าย จนอาจถึงขั้นต้องเข้ารับการบำบัด ชี้สังคมโลกออนไลน์ไม่ใช่โลกของความเป็นจริง แนะวิธีห่างเซลฟี่ ให้จำกัดการเผยแพร่รูปตัวเอง หากิจกรรมอย่างอื่นทำแทน เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวพักผ่อน ใช้เวลาอยู่กับคนใกล้ชิด ยอมรับความจริง ในความแตกต่างของคน เป็นการสร้างความมั่นใจตัวเองได้

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้คนทั่วโลกนิยมใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเลคทรอนิคส์ (องค์การมหาชน) สำรวจการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในปี 2556 พบว่า ทั่วโลกมีผู้ใช้งานเฟซบุ๊ค 1000 ล้านกว่าคนต่อเดือน ใช้งานอินสตาแกรมมากกว่า 100 ล้านคนต่อเดือน ส่วนในไทยพบว่ามีประชาชนใช้เฟซบุ๊คถึง 19 ล้านคน ใช้อินสตาแกรมถึง 8 แสนคนต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉลี่ยแล้วเพิ่มขึ้นเดือนละ 10 ล้านคน

แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวว่า เรื่องที่น่าห่วงขณะนี้ พบว่า ประชาชนทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะวัยรุ่นนักเรียน นักศึกษา นิยมพฤติกรรมที่เรียกว่า เซลฟี่ (selfie)กันมาก กล่าวคือ ถ่ายรูปตัวเองในอิริยาบถต่างๆ แล้วนำไปเผยแพร่บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ค อินตราแกรม ไม่ว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน หรือกินอะไร เพื่อให้เพื่อนในสังคมออนไลน์ทั้งที่รู้จักจริง และรู้จักในสังคมออนไลน์ได้รับรู้ มากดไลค์ (Like) ถูกใจในรูปภาพ โดยเฉพาะภาพเดี่ยวทั้งถ่ายครึ่งตัว เต็มตัว เพื่อให้เพื่อนๆในสังคมออนไลน์กดไลค์ หรือข้อความของตนเอง พฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพจิตในอนาคตได้ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตนเอง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และส่งผลต่ออนาคต การงาน และการพัฒนาประเทศอย่างคาดไม่ถึง

“การที่เซลฟี่ จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล การลงรูปเพราะอยากได้การตอบรับจากสังคม และการได้ยอดกดไลค์ ถือว่าเป็นรางวัล ซึ่งเป็นหลักปกติของมนุษย์ทั่วไป ถ้าอะไรที่ทำแล้วได้รางวัลก็จะทำซ้ำ แต่ว่ารางวัลของแต่ละบุคคลมีผลกระทบต่อความรู้สึกไม่เท่ากัน บางคนลงรูปไปแล้วได้แค่สองไลค์เขาก็มีความสุขแล้ว เพราะถือว่าพอแล้ว แต่บางคนต้องให้มียอดคนกดไลค์มากๆ พอมากแล้วก็ยิ่งติด เพราะถือว่าเป็นรางวัล ในทางตรงกันข้าม หากได้รับการตอบรับน้อย ไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ และทำใหม่แล้วก็ยังไม่รับการตอบรับ จะส่งผลต่อความคิดของตัวเอง บุคคลนั้นสูญเสียความมั่นใจและส่งผลต่อทัศนคติด้านลบของตัวเองได้ เช่นไม่ชอบตัวเอง ไม่พอใจรูปลักษณ์ตัวเอง แต่หากบุคคลนั้น สามารถรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้เป็นปกติได้ เซลฟี่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ”แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าว

แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าวต่อไปว่า นักจิตวิทยาในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้ข้อคิดว่า เซลฟี่ สามารถกัดกร่อนความมั่นใจ ความภาคภูมิใจในตัวเองได้ หากถ่ายรูปตัวเองเผยแพร่บนโลกออนไลน์เป็นบางโอกาส ถือเป็นการมีส่วนร่วมในสังคมออนไลน์ แต่หากมากไปและคาดหวัง จดจ่อว่าจะมีใครเข้าดู เข้ามาแสดงความคิดเห็น แสดงว่าเซลฟีกำลังสร้างปัญหา และเป็นสัญญาณหนึ่งบอกถึงการขาดความมั่นใจในตัวเอง ล่าสุดสาธารณสุขประเทศอังกฤษได้ออกมาประกาศว่า อาการเสพติดโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ ถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง ในแต่ละปี มีชาวอังกฤษเข้ารับการบำบัดมากกว่า 100 ราย

แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อว่า ความมั่นใจในตัวเอง เป็นที่จำเป็นสำหรับคนทุกคน เพราะจะทำให้คนพอใจในตนเอง มีความสุข มีสมาธิ ไม่กังวล ไม่โหยหาความรักและความสนใจจากคนอื่นๆ กล้าทำในสิ่งใหม่ที่เหมาะสม มีความเป็นผู้นำ กล้าเผชิญความจริง มีบุคลิกภาพดี เป็นมิตรกับคนทุกคน หากขาดความมั่นใจในตนเองแล้ว จะเกิดความกังวล ลังเล ชีวิตไม่มีความสุข เมื่อมีความคิดสะสมไปเรื่อยๆ อาจมีความผิดปกติทางจิตใจอารมณ์ได้ง่าย เช่น หวาดกลัว หวาดระแวง เครียด อิจฉา ชอบจับผิดคนอื่น ซึมเศร้า อาจทำพฤติกรรมแปลกๆ มีลักษณะตรงข้ามกับความมั่นใจตัวเอง เช่นการแต่งกาย การใช้คำพูด หรือประชดชีวิตตนเอง เช่นดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด เป็นต้น หากเยาวชนไทย เป็นผู้ที่ขาดความมั่นใจ จะทำให้ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ในชีวิต มักทำตามคนอื่น เป็นผู้ลอกเลียนแบบ หรือทำซ้ำๆในสิ่งที่ทำมาแล้ว พัฒนาตนเองยาก มีผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ทำให้จำนวนผู้นำน้อยลง ครอบครัวขาดเสาหลักที่มั่นคง โอกาสการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ เป็นไปได้ยากขึ้น หากเป็นผู้ทำงานแล้ว โอกาสความก้าวหน้าจะช้ากว่าคนอื่น

ดังนั้นการวิธีป้องกันการเสพติดเซลฟี่ และการสร้างความมั่นใจตัวเองบนโลกความเป็นจริง ต้องให้ความสำคัญกับคนรอบข้างที่เป็นสิ่งแวดล้อมจริงในชีวิตประจำวัน หากิจกรรมยามว่างทำกับคนในครอบครัว เพื่อนๆ เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวพักผ่อน และข้อสำคัญให้ยอมรับในความแตกต่างของคน ที่ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน และที่สำคัญต้องฝึกความอดทนให้กับตัวเอง เพราะการถ่ายเซลฟี่ไม่สามารถที่จะทำได้ตลอดเวลา ครั้งไหนที่ทำไม่ได้ ต้องยอมฝืนใจที่จะไม่ทำ หากผ่านจุดนั้นไปได้ ในครั้งต่อๆไป ก็จะสามารถควบคุมพฤติกรรมการถ่ายเซลฟี่ได้เช่นกัน แพทย์หญิงพรรณพิมลกล่าว