ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ไทยรัฐ - แพทย์เชี่ยวชาญเตือนประชาชนหากป่วยควบ 2 โรคทั้งเบาหวาน-ความดันโลหิตสูงพร้อมกัน จะเร่งเกิดปัญหาไตวายเร็วขึ้น ด้านปลัด สธ.เร่งจัดบริการดูแลปี 57 เพิ่มหน่วยไต ทั้งตรวจดูแล ล้างไตทางหน้าท้อง ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม รวม 51 แห่ง...เมื่อวันที่ 12 มี.ค. มีรายงานว่า นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ. ตรวจเยี่ยมราชการที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ เพื่อติดตามความคืบหน้าของการร่วมจัดบริการรักษาพยาบาล ดูแลสุขภาพ และลดปัญหาการเจ็บป่วยของประชาชน ของสถานบริการในสังกัดทุกระดับ ที่อยู่ในเขตบริการสุขภาพที่ 10 ซึ่งประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และมุกดาหาร รวมทั้งหมด 71 แห่ง ดูแลประชาชนประมาณ 4.5 ล้านคน

นพ.ณรงค์ กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพประจำถิ่นนี้ พบว่าประชาชนป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายกันมาก ทั้ง 5 จังหวัด มี 3,000 กว่าคน ร้อยละ 30 ต้องใช้การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ที่เหลือฟอกทางหน้าท้อง โดยมีผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายรายใหม่เพิ่มปีละกว่า 100 ราย สาเหตุที่ทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคดังกล่าวมาก เกิดมาจากโรคเบาหวานมากเป็นอันดับ 1 รองลงมา คือ โรคความดันโลหิตสูง และไตอักเสบจากโรคนิ่วผู้เชี่ยวชาญโรคไตระบุว่า หากประชาชนป่วยทั้งโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน 2 โรคพร้อมกัน จะทำให้เกิดไตวายได้เร็วกว่าป่วยเป็นโรคเดียว เนื่องจากทั้ง 2 โรคนี้ ทำให้หลอดเลือดไปเลี้ยงไตเสื่อม ซึ่งผลการสำรวจล่าสุดในปี 2555 ทั่วประเทศพบประชาชนป่วยเป็นทั้งโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงประมาณ 6 แสนคน ดังนั้น จึงคาดว่าแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากผู้ป่วยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ คือ ลดกินเค็ม ลดกินหวาน และอาหารมัน รวมทั้งการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละไม่ต่ำกว่า 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน ตามคำแนะนำของแพทย์

ทั้งนี้ จากการตรวจคัดกรองนิ่วประชาชนในเขตสุขภาพที่ 10 จำนวน 1.3 ล้านคน พบไตทำงานผิดปกติเบื้องต้น จำนวน 30,000 คน คิดเป็นร้อยละ 2.5 ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากการทำอาชีพที่เสียเหงื่อมาก เช่น ทำงานกลางแจ้ง ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ไตทำงานหนักขึ้น รวมทั้งการกินอาหารที่มีสารอ็อกซาเลตมาก เช่น ผักติ้ว ผักกระโดน และจากพันธุกรรมที่มีภาวะสารแม็กนีเซียมในร่างกายต่ำมาก่อน จะต้องเร่งป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไตวายโดยเร็ว โดยใช้กลไกของรณรงค์ให้ความรู้ในหมู่บ้านชุมชน โดยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และ อสม.

ทางด้าน นพ.วชิระ กล่าวว่า กระทรวงได้กำหนดให้เขตบริการสุขภาพทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ ตั้งศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคไตทุกเขต และให้โรงพยาบาลในเครือข่ายเดียวกันจัดบริการดูแลผู้ที่ป่วยร่วมกัน เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการที่เป็นธรรมคิวรักษาเร็วขึ้น ในส่วนของเขตบริการฯ ที่ 10 ในปีนี้ ได้เพิ่มหน่วยดูแลผู้ป่วยโรคไตทุกชนิด จำนวน 51 แห่ง ประกอบด้วย คลินิกไตให้การดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เพื่อชะลอความเสื่อมของไต จากเดิมมีแล้ว 10 แห่ง เพิ่มปีนี้อีก 3 แห่งที่ รพ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี รพ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และ รพ.เลิงนกทา จ.ยโสธร รวมเป็น 13 แห่ง เพิ่มหน่วยล้างไตทางหน้าท้องจากเดิมมี 15 แห่ง ปีนี้เพิ่มอีก1 แห่ง ที่ รพ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี รวมเป็น 16 แห่ง เพิ่มศูนย์ไตเทียมจาก 18 แห่งเป็น 20 แห่ง ปีนี้เพิ่มที่ รพ.เดชอุดม และ รพ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้พัฒนาให้ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ เป็นศูนย์เชี่ยวชาญโรคไต ประจำเขตบริการสุขภาพที่ 10 ขณะนี้ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งเป็นวิธีรักษาโรคไตวายระยะสุดท้ายที่ให้ผลดีที่สุด เฉลี่ยเดือนละ 1 ราย ครอบคลุมผู้ป่วยที่รอคิวเปลี่ยนไตมากถึงร้อยละ 30 สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 2 เท่าตัว จนถึงบัดนี้ผ่าไปแล้ว 38 ราย นับว่ามากที่สุดในประเทศและอยู่ได้ตลอดชีวิต โดยในปีนี้ได้ขยายศูนย์รับบริจาคอวัยวะและผ่าตัดเปลี่ยนไตเพิ่มที่ รพ.ศรีสะเกษ อีก 1 แห่ง ซึ่งสามารถนำไปผ่าตัดเปลี่ยนไตให้ผู้ป่วยภายใน 48 ชั่วโมง หลังได้รับบริจาค.

ที่มา: http://www.thairath.co.th