ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ไทยโพสต์ - เจ้าหน้าที่ สธ.ระงับการทำงานด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับ สปสช. หลัง สตง.ตรวจพบการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์

แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีบุคลากรทางการแพทย์สังกัด สธ. ได้ส่งข้อความผ่านไลน์ในลักษณะขอให้ ผอ.รพ.ต่างๆ รวมทั้งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) หยุดการคีย์ข้อมูลด้านการบริการสุขภาพเข้าสู่ระบบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเบิกจ่ายงบประมาณ เนื่องจากมองว่าเป็นภาระและไม่เป็นระบบ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการพิเศษต่างๆ ของ สปสช. เช่น หากบุคลากรสาธารณสุขทำการตรวจแป็ปสเมียร์ (Pap Smear) จะได้งบจาก สปสช.เป็นรายบุคคลจำนวนคนละ 25 บาท ซึ่งการเบิกจ่ายงบลักษณะนี้ขัดต่อระเบียบ สธ. เนื่องจากไม่สามารถให้บุคลากรรับเงินส่วนนี้ได้ จึงเกิดปัญหาว่ามีงบประมาณก็จริง แต่กลับเบิกจ่ายไม่ได้

"ประเด็นดังกล่าวมีการหารือกับ สปสช.มาตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ข้อยุติ สปสช.ไม่ยอมปรับเงื่อนไข แทนที่จะให้รายบุคคลควรหันมาให้เป็นงบโครงการเองจะดีกว่า แบบนี้ทำให้ระบบยุ่งยาก จึงเกิดการพูดคุยกันภายในแวดวงสาธารณสุขว่าควรหยุดการคีย์ข้อมูลลักษณะนี้ และหารือกับ สปสช.ก่อน และในวันที่ 3 เม.ย.นี้ ปลัด สธ.ได้เรียกประชุม นพ.สสจ. และ ผอ.รพ.ในสังกัดทั่วประเทศ พูดคุยถึงแนวทางการปฏิรูปกระทรวงฯ และจะพูดถึงปัญหาดังกล่าวด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เชื่อว่าน่าจะมีทางออกที่ดีขึ้น" แหล่งข่าวกล่าว

พญ.อุทุมพร กำภู ณ อยุธยา นพ.สสจ.นครศรีธรรมราช กล่าวถึงจากกรณีดังกล่าวว่า ตอนนี้มีภาพความทับซ้อนของภารกิจบางอย่างระหว่าง สธ.กับ สปสช. โดยเฉพาะเรื่องการใช้งบประมาณบัญชี 6 หรือบัญชีเงินค่าใช้จ่ายที่ สปสช.จะโอนมาให้กับ สสจ. เพื่อโอนต่อไปยังหน่วยบริการ ทั้งนี้ งบประมาณดังกล่าวนั้นจะมีทั้งงบสำหรับค่าเหมาจ่ายรายหัวและงบอื่นๆ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีระเบียบการใช้เงินที่แตกต่างกัน ล่าสุดยังมีประเด็นอื่นอีก โดยเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เข้ามาตรวจสอบและพบว่ามีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ และอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม ถือเป็นปัญหาที่กระทบต่อการทำงานของหน่วยบริการ ซึ่งระหว่างที่ สธ.กับ สปสช.ยังไม่มีความชัดเจนว่าอะไรที่สามารถทำได้ หรือะไรที่ไม่สามารถทำได้ จึงจำเป็นต้องหยุดการดำเนินการเรื่องที่เกี่ยวข้องด้านการเงินกับ สปสช.เอาไว้ เพื่อรอความชัดเจนก่อน คาดว่าเมื่อมีการหารือภายในเดือนเมษายนนี้น่าจะแก้ปัญหาได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์  วันที่ 3 เมษายน 2557