ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.กำชับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง เฝ้าระวังการระบาดโรคมือ เท้า ปากที่มาในหน้าฝน เน้นป้องกันการระบาดเปิดเทอม พบป่วยแล้ว 11,795 ราย เน้นรักษาความสะอาดห้องเรียน-อุปกรณ์ต่างๆ และย้ำตรวจคัดกรองเด็กป่วยทุกวัน

นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน อากาศเย็นและชื้นเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นห่วงคือ โรค มือ เท้า ปาก (Hand foot mouth Discease) ซึ่งพบได้ตลอดปี แต่พบมากในช่วงฤดูฝน ประกอบกับช่วงนี้โรงเรียนต่างๆ เริ่มเปิดเทอม เด็กๆ จะมารวมกันเป็นจำนวนมาก จึงมีโอกาสเกิดการระบาดของโรคนี้ได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ จากการติดตามประเมินสถานการณ์ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก สูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี 2556 พบผู้ป่วยสูงถึง 45,961 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุ 0-4 ปี ในศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาล ผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ว่า ในปี 2557 จะพบผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 26,000-39,000 ราย และจะพบผู้ป่วยมากขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นฤดูกาลระบาดของโรคประจำทุกปี และพบผู้ป่วยมากในช่วงที่ 2 ประมาณเดือนธันวาคม ซึ่งเข้าสู่ฤดูหนาว จากข้อมูลสำนักงานระบาดวิทยา ในปี 2557 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-11 พฤษภาคม พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปากแล้ว 11,795 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยพบมากที่สุดเป็นเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 4 ปี คิดเป็น 3 ใน 4 ของผู้ป่วยทั้งหมด

นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้กรมควบคุมโรค ติดตามเฝ้าระวังโรคนี้อย่างใกล้ชิด และกำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง ประสานขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่รับผิดชอบดูแลศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งมีประมาณ 20,000 แห่ง และประสานงานสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ที่ดูแลโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษา ขอให้ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางการป้องกันควบคุมโรคตามที่กำหนด และให้ความรู้การป้องกันโรคแก่ ครู ครูพี่เลี้ยง ครูอนามัยโรงเรียน ตั้งแต่ช่วงปิดเทอม โดยในช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม ขอให้ทุกพื้นที่แข็งขันในการใช้มาตรการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากฤดูกาลระบาดของโรค โดยเน้นให้ครูตรวจคัดกรองเด็กทุกคน ทุกวัน หากพบเด็กป่วยให้แยกออกจากเด็กปกติ ตามผู้ปกครองมารับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล และหยุดเรียนจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่เด็กอื่น

นอกจากนี้ ได้ให้โรงพยาบาลทุกแห่งให้ความสำคัญในการรักษาเด็กเล็กที่มีอาการป่วยโรคมือ เท้า ปาก ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา โดยขอให้แพทย์ซักประวัติการเจ็บป่วยโรคมือเท้าปากของเพื่อนในโรงเรียน เพื่อนบ้าน หรือคนในครอบครัวด้วย เพื่อให้การดูแลรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากพบว่าผู้ป่วยหลายรายที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต มีอาการของโรคมือ เท้า ปากไม่ชัดเจน คือมีตุ่มน้ำใสหรือแผลในปากที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไม่มีไข้และไม่มีแผลที่บริเวณในคอหอย จึงต้องเพิ่มการซักประวัติประกอบด้วย

ด้าน นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคมือเท้าปาก เกิดจากเชื้อไวรัสที่พบในลำไส้หลายชนิด เรียกว่า เอ็นเทอไรไวรัส (enterovirus) ที่พบบ่อยคือเชื้อคอกแซกกี เอ 16 (coxsackie A16) โดยเชื้อไวรัสเข้าไปทางปาก จากการที่มือสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย น้ำในตุ่มพองหรือแผลของผู้ป่วย และอุจจาระของผู้ป่วย ผู้ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการหรืออาจมีอาการน้อย เช่น มีไข้ มีผื่น ตุ่มน้ำใส หรือเม็ดแดงๆ ในปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่วนใหญ่จะหายได้เอง ภายใน 7-10 วัน มีเพียงประมาณ 1 ใน 10,000 ราย ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนๆ อื่นๆ โดยเชื้อเอ็นเทอโรไวรัสที่รุนแรงที่สุด คือ เอ็นเทอโรไวรัส 71 ฝู้ป่วยจะมีอาการรุนแรง มักไม่มีอาการของโรคมือ เท้า ปาก แต่จะมีไข้ อาเจียน และถ่ายเหลวรุนแรง ร่างกายขาดน้ำ ปอดบวมน้ำ หอบเหนื่อย ซึม ชักเกร็ง คอแข็ง กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สมองอักเสบ ช็อก หมดสติ และเสียชีวิตจากทางเดินหายใจและหัวใจล้มเหลว

นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า โรคนี้ไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกันโรค หากป่วยแพทย์จะรักษาตามอาการ วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาดส่วนบุคคลของเด็ก และสิ่งของเครื่องใช้ โดยเฉพาะในศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล ซึ่งเด็กจะอยู่รวมกันและเล่นของเล่นร่วมกัน โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะชอบหยิบของเล่นเข้าปาก จะต้องดูแลให้เด็กล้างมือบ่อยๆ ล้างทำความสะอาดของเล่น อุปกรณ์ของใช้ และสถานที่อย่างสม่ำเสมอ หากพบเด็กป่วยเพิ่มขึ้นผิดปกติ ต้องรีบแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทันที เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาด หากพบผู้ป่วยในห้องเรียนเดียวกันมากกว่า 2 คน อาจพิจารณาปิดโรงเรียนชั่วคราว 5-7 วัน เพื่อทำความสะอาด โดยใช้สบู่หรือผงซักฟอกขัดล้างตามพื้นผิวสัมผัสต่างๆ แล้วตามด้วยน้ำยาฟอกขาว เช่น คลอเร็กซ์ หรือไฮเตอร์ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างเช็ดหรือแช่ด้วยน้ำสะอาด ส่วนของเล่นเด็กที่อาจเอาเข้าปากได้ ให้ล้างด้วยสบู่หรือผงซักฟอกตามปกติ และนำไปผึ่งแดด

ประชาชนมีข้อสงสัยโทรสอบถามได้ที่ สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ โทร 02-590-3159 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง