ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เมื่อวันที่ 23 พ.ค.57 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงทำงานร่วมกันกับกองบัญชาการวิจัยทางการแพทย์และเวชยุทโธปกรณ์ กองทัพบกประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อต่อยอดความสำเร็จจากโครงการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในประเทศไทย ที่ประกาศผลไปเมื่อปี 2552 ว่ามีประสิทธิผลร้อยละ 31.2 โดยผู้ร่วมลงนามฝ่ายประเทศสหรัฐอเมริกา คือ นพ.เคนเนธ เบอร์ทรัม รองผู้บัญชาการด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์และเวชยุทโธปกรณ์ กองบัญชาการวิจัยทางการแพทย์และเวชยุทโธปกรณ์ กองทัพบกประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้มีแขกผู้มีเกียรติในงานจากหน่วยงานต่างๆทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมหาวิทยาลัย รวมทั้งภาคธุรกิจเอกชนผู้ผลิตวัคซีนและชีวเวชภัณฑ์

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวหลังพิธีลงนามว่า การลงนามครั้งนี้เป็นการแสดงความตกลงร่วมกันว่าแต่ละฝ่ายจะร่วมมือกันขับเคลื่อนการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ชนิดปูพื้น-กระตุ้นในประเทศไทย จนถึงขั้นสามารถผลิตและนำมาใช้ได้ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรภาครัฐ และเอกชน นานาชาติในนามของกลุ่มร่วมพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ (AIDS Vaccine Efficacy Consortium-AVEC) และได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศไทย เพื่อพัฒนาวัคซีนดังกล่าวมานานกว่า 20 ปี โดยประเทศไทยแสดงความมุ่งมั่นที่จัดหาสมรรถนะในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ในประเทศ หากผลการวิจัยทดสอบว่าวัคซีนมีประสิทธิผลสูงพอที่ทำให้สามารถขึ้นทะเบียนในประเทศไทยได้ ซึ่งข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา ในเรื่องความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยหวังว่าความเป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศนี้จะเป็นรากฐานของความร่วมมือจากนานาชาติ ที่จะสนับสนุนการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนที่จะมีขึ้นอีกต่อไป

จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรค โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่าประชากรอายุระหว่าง 15-24 ปี มีแนวโน้มอัตราป่วยด้วยกามโรค ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยตรงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549 สะท้อนถึงปัญหาการไม่ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ซึ่งหากติดกามโรค เช่น หนองใน หนองในเทียม ซิฟิลิส กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลืองและแผลริมอ่อน จะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าคนปกติ 3-9 เท่า เนื่องจากจะมีรอยแผลเป็นในเยื่อบุที่อวัยวะสืบพันธุ์ เป็นช่องทางให้ติดเชื้อง่าย และมีโอกาสรับเชื้อเพิ่มซ้ำๆ โดยตั้งแต่ ก.ย. 2527 - 15 พ.ย. 2554 มีวัยรุ่นอายุ 15-24 ปี มีอาการป่วยเป็นโรคเอดส์แล้วประมาณ 40,000 ราย จากผู้ป่วยทั้งหมด 376,690 ราย

“นอกจากความร่วมมือในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคเอดส์แล้ว ที่ผ่านมากรมควบคุมโรคได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กำหนดมาตรสำคัญในการป้องกันปัญหา โดยส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องเอดส์และเพศศึกษาในสถานศึกษา ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูล คำแนะนำ คำปรึกษา และบริการสุขภาพอนามัย การเจริญพันธุ์ ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชน รวมทั้งสนับสนุนถุงยางอนามัยฟรีแก่สถานบริการสาธารณสุขต่างๆ แจกจ่ายแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ซึ่งจะป้องกันได้ทั้งการตั้งครรภ์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกโรค รวมทั้งรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ เพิ่มทางเลือกและช่องทางในการป้องกัน ควบคุมโรค เน้นให้เยาวชนได้เรียนรู้ โดยการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายในระดับพื้นที่ให้องค์ความรู้ และวิธีการสื่อสารในเรื่องถุงอนามัยสตรี นอกจากนี้ได้ส่งเสริมให้ประชาชนหรือวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมเสี่ยง สามารถตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี ได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง หากรู้เร็วจะได้รับการรักษาเร็ว สามารถอยู่กับเชื้อเอชไอวีได้เหมือนโรคเรื้อรังอื่นๆ จัดบริการที่สถานบริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งหรือกลุ่มบางรักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ประชาชนผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aidsstithai.org หรือ ทาง Call center 1330 กด 4, 0-2941-2320 ต่อ 181, 182 หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค หมายเลข 1422” นพ.โอภาส กล่าว