ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เครือข่ายเอดส์หวั่น อภ.ทำยาขาดตลาด กระทบผู้ป่วย หลังไม่ส่งยาให้ สปสช. ตามกำหนด คาดสิ้นปีถูกปรับมากกว่า 100 ล้านบาท ด้าน 8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพเล็งยื่น คสช.ปฏิรูปฟื้นฟู อภ. ล้างการครอบงำเด็กนักการเมือง พร้อมจี้สั่ง DSI สอบ “พิพัฒน์ - ปลัด สธ.- ผอ.อภ.” บริหารงานไร้ประสิทธิภาพ แสวงหาประโยชน์

นายอภิวัฒน์  กวางแก้ว  ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ เอช ไอ วี และเอดส์ประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจาก 8 เครือข่ายองค์กรสุขภาพนำโดย นพ.วชิระ บถพิบูลย์ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท ยื่นหนังสือถึงประธาน คสช. ให้ปลดบอร์ดและ ผอ.องค์การเภสัชกรรม เพราะร่วมมือกับนักการเมืองในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำให้องค์การเภสัชกรรมที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจเกรดดีของรัฐ มีปัญหาการบริหารงานภายในองค์กรอ่อนแอลง เอื้อประโยชน์กับบริษัทยาเอกชนข้ามชาติ และอาจมีพฤติกรรมหาประโยชน์จากงบค่าส่งเสริมการตลาดแจกจ่ายพวกพ้องทำให้ยอดขายยาตกต่ำและยาสำคัญสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ 6 รายการ รวมทั้งยาวัณโรค 4 รายการขาดส่งให้สปสช. ตามสัญญาซื้อขาย เป็นมูลค่าถึง 326.7 ล้านบาท เสียค่าปรับร้อยละ 0.2 เป็นเงินวันละ 6.5 แสนบาท กระทบต่อฐานะการเงินในอนาคต

นายอภิวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากผลกระทบดังกล่าว ส่งผลให้ขณะนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อ เอชไอวี ที่ต้องรับยาต้านไวรัสเอดส์จำนวนกว่าสองแสนรายทั่วประเทศกำลังหวาดวิตกว่ายาต้านไวรัสที่องค์การเภสัชกรรมผลิตและผู้ติดเชื้อต้องกินทุกวันจะขาดตลาด เพราะการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพของบอร์ดและ ผอ. องค์การเภสัชกรรมที่อดีต รมว.สาธารณสุข และปลัดกระทรวงฯ ได้แต่งตั้งปัจจุบันและพวกพ้องเข้ายึดกุมและอาจมีพฤติกรรมหาประโยชน์จากรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ ทำให้ยาจำเป็นหลายรายการ เช่น ยาเบาหวาน ขาดตลาด และล่าสุดยาต้านไวรัสเอดส์ 6 รายการ เช่น ยาผสม AZT ซึ่งเป็นยาพื้นฐานที่ผลิตเองมูลค่ากว่า 204.7 ล้านบาท ยาลามิวูดีน (Lamivudine) มูลค่า 51.9 ล้านบาท ยา Antivir มูลค่า 21.6 ล้านบาท รวมทั้งยาวัณโรคอีก 4 รายการที่องค์การเภสัชกรรมเคยผลิตและจำหน่ายมาตลอด แต่จากการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ มีวาระซ้อนเร้นทางการเมือง ทำให้ไม่สามารถผลิตหรือจัดหาส่งให้ สปสช.เพื่อกระจายให้ รพ.ต่างๆทั่วประเทศ ได้ทันตามสัญญาซื้อขายที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มิย. ที่ผ่านมา มูลค่าที่ขาดส่งประมาณ 326.7 ล้านบาท ทำให้ถูกปรับวันละ 6.5 แสนบาท และคาดว่าสิ้นปีจะถูกปรับมากกว่าหนึ่งร้อยล้านบาทถ้าไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารภายในได้

“บอร์ด อภ.ชุดนี้มี นพ.พิพัฒน์  ยิ่งเสรี เป็นประธานและ นพ.ณรงค์  สหเมธาพัฒน์  ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นกรรมการได้รับการแต่งตั้งสมัย นพ.ประดิษฐ  สินธวณรงค์  รมว.สาธารณสุข พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2555 และงานชิ้นแรกที่ทำคือปลด นพ.วิฑิต อรรถเวชกุล ออกจาก ผอ.อภ. เมื่อวันที่ 17 พค.2556 หลังจากนั้นได้แต่งตั้ง นพ.สุวัช เซียศิริวัฒนา อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขที่โตจาก นพ.สสจ.จังหวัดสระแก้วมาเป็น ผอ.อภ.แทน ทำให้ระบบงานและภาพลักษณ์องค์การเภสัชกรรมที่เคยรุ่งเรืองในอดีตตกต่ำ การบริหารงานภายในปั่นป่วน จนท.ทุกระดับหมดกำลังใจ ใส่เกียร์ว่าง เป็นสาเหตุทำให้การผลิตยาและจัดหายาสำคัญ เช่น ยาต้านไวรัสเอดส์ ยาวัณโรค และยาเบาหวาน ขาดส่งตามสัญญากับ สปสช. และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะแก้ไขปัญหาได้เมื่อไร” ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ กล่าวและว่า “สัปดาห์หน้าตัวแทนเครือข่ายผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยวัณโรค และผู้ป่วยโรคไต จะประชุมเพื่อเตรียมการอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยทั่วประเทศเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขอความช่วยเหลือจากประธาน คสช.ให้แก้ไขปัญหาและฟื้นฟูองค์การเภสัชกรรมให้มีระบบบริหารเป็นมืออาชีพเหมือนเดิม ปลอดจากการแสวงหาประโยชน์จากเด็กนักการเมืองที่แต่งตั้งจากรัฐบาลเก่า เพื่อคืนความสุข คืนความมั่นคงปลอดภัยด้านยาให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง” นายอภิวัฒน์ กล่าว

นพ.วชิระ  บถพิบูลย์ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบทเปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรสุขภาพขอเรียกร้องให้ คสช. สอบกรณีที่ นพ.พิพัฒน์  ยิ่งเสรี ประธานบอร์ด อภ.ได้ร่วมกับ นพ.ณรงค์  สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรรมการ อภ. คนอื่นๆ ที่อดีต รมว.สาธารณสุขจากพรรคเพื่อไทยแต่งตั้ง และมีข่าวอื้อฉาวมาตลอดว่าเคยมีมติให้เปลี่ยนเส้นทางเงิน 70 ล้านบาทค่าส่งเสริมการตลาดของ อภ.ที่จะต้องส่งให้ สปสช.เพื่อจัดสรรให้ รพ.ต่างๆ แต่กลับส่งเข้าสู่กระทรวงสาธารณสุข   ตามหนังสือกระทรวงสาธารณสุข ที่ สธ.0205.02.5/13144 ลงวันที่ 30 กย 2556  และหนังสือที่ สธ. 0205.02.5/13180 ลงวันที่ 30 กย 2556 ว่าขณะนี้เงินอยู่ที่ไหน เอาไปทำอะไร มีใครแอบได้ประโยชน์ และสอบสวนว่ามีความจำเป็นอะไรหรือใครอยู่เบื้องหลังจากการที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขมีหนังสือ ลงวันที่ 16 มิย. 56 ของบประมาณจากองค์การเภสัชกรรมตามโครงการให้ทุนการศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิตจำนวน 6 ทุน ให้มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกาเป็นเงินถึงปีละกว่า 12.8 ล้านบาทและค่าบริหารอีกปีละ 1 ล้านบาท ว่ามีความจำเป็นและเหมาะสมอย่างไร รวมทั้งสอบกรณีที่ นพ.พิพัฒน์  ยิ่งเสรี จัดประชุมกรรมการบริษัทร่วมค้าที่สนามกอลฟ์หรู จ.นครปฐม และทำเรื่องเบิกบัญชีเงินสวัสดิการพนักงานองค์การเภสัชกรรม เป็นค่าตีกอลฟ์ครั้งนั้นจำนวน 10,200 บาท  ตามหนังสือลงวันที่ 21 กพ. 2557 รวมทั้งเบิกค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่อ้างว่าเป็นค่าเดินทางไปดูงาน รพ.ที่มหานครนิวยอร์ค ในครั้งที่เดินทางไปร่วมพิธีมอบทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด แทน นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ เป็นเงิน 65,000 บาท

“อยากให้ คสช. สั่ง DSI สอบข้อเท็จจริงดังกล่าวให้กระจ่าง เพราะส่อว่าประธานบอร์ด ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ผอ.องค์การเภสัชกรรม นอกจากบริหารไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ยาจำเป็นแก่ชีวิตของผู้ป่วยขาดส่งแล้ว ยังอาจมีพฤติการการแสวงหาประโยชน์จากเงินขององค์การเภสัชกรรม ซึ่งเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ของประชาชน และของผู้ป่วย ไม่ใช่ของเด็กนักการเมือง” อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบทกล่าว