ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“นพ.วรวิทย์” ผอ.รพ.อุ้มผาง อดีตแพทย์ชนบทดีเด่น อัดสปสช. คนดีแต่ใจดำ เผย 12 ปีที่ผ่านมา สปสช.ปล่อยรพ.ชายแดนเดือดร้อน รับภาระดูแลผู้ป่วย โดยไม่ทำอะไร ทั้งที่มีงบประมาณจำนวนมาก เชื่อหาก “นพ.สงวน” ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ปล่อยให้รพ.ชายแดนต้องลำบากแบบนี้ ชี้แนวทางปลัดสธ.เข้าใจปัญหาพื้นที่เฉพาะมากขึ้น ด้านรองเลขาธิการสปสช.รับมีช่องโหว่ สปสช.ดูแลได้เฉพาะคนไทย แต่รพ.อุ้มผางมีคน 3 กลุ่ม คนไทยไม่ถึงครึ่ง ที่เหลือเป็นคนไร้สถานะและต่างด้าว ที่สธ.ดูแล ตอนนี้อยู่ระหว่างหาแนวทางมีเจ้าภาพดูแลผู้ป่วยต่างชาติ

นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ 

11 ธ.ค.57 เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่า นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก และอดีตแพทย์ชนบทดีเด่นปี 2538 เปิดเผยว่า ได้เขียนจดหมายถึง นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก เพื่อเล่าสภาพปัญหาการทำงานภายในพื้นที่ รวมถึงตำหนิการทำงานของผู้บริหารสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งดูแลกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ว่าเป็น “คนดีแต่ใจดำ” จริง เนื่องจากที่ผ่านมา 12 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งสปสช. โรงพยาบาลอุ้มผางยังประสบปัญหาในการดูแลผู้ป่วยมาโดยตลอด แต่ผู้บริหารกลับนิ่งดูดาย ปล่อยให้โรงพยาบาลชายแดนต้องเดือดร้อน โดยที่ไม่ทำอะไร ทั้งที่มีงบประมาณในการดูแลผู้ป่วยจำนวนมาก และเชื่อว่า หาก นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการสปสช.ยังมีชีวิตอยู่ สปสช.จะไม่ปล่อยให้โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนลำบากอย่างนี้

“ผมอยากจะเปรียบว่าเราเป็นเหมือนคนขับรถที่จอดเสียอยู่ข้างทาง แล้วสปสช.เป็นคนขับรถที่ผ่านมา มีอุปกรณ์ช่วยเหลืออยู่เต็มรถ แต่ขับผ่านไปโดยไม่ช่วยเหลืออะไร เพราะที่ผ่านมา พื้นที่โรงพยาบาลอุ้มผาง มีปัญหาทั้งคนไร้สัญชาติเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก หรือปัญหาโรคติดต่อ เช่น วัณโรค หรือโรคระบาดร้ายแรงที่ข้ามชายแดนมา ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนสะสมมานานหลายปี แต่สปสช.กลับสนับสนุนได้เพียงคนไทย ซึ่งเข้ามาใช้บริการน้อยมากเท่านั้น”นพ.วรวิทย์กล่าว

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง กล่าวอีกว่า สปสช.มีตัวชี้วัดตามกองทุนย่อยหลายตัวที่โรงพยาบาลอุ้มผางทำตามได้ยาก เช่น การแก้ปัญหาเด็กอ้วน แต่ในพื้นที่ชายแดน เด็กส่วนใหญ่ขาดสารอาหาร ทำให้ไม่ได้งบประมาณส่วนนี้ หรือยารักษาวัณโรค ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสปสช.เช่นกัน ซึ่งวิธีการใช้หลักเกณฑ์เดียวให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม 12 ปีที่ผ่านมาสะท้อนชัดว่าไม่ได้ผล เมื่อ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดสธ. มีแนวทางใหม่ สนับสนุนให้นำงบประมาณกองทุนย่อย มาเกลี่ยในเขตบริการสุขภาพ จึงน่าจะเข้าใจปัญหาในแต่ละพื้นที่เฉพาะมากขึ้น

ขณะที่ นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสปสช. กล่าวว่า โรงพยาบาลอุ้มผาง เป็นโรงพยาบาลที่ดี และนพ.วรวิทย์ก็เป็นแพทย์ที่ทุ่มเทให้กับพื้นที่มาก อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่าโรงพยาบาลอุ้มผางดูแลผู้ป่วยถึง 3 กลุ่ม คือ 1.คนไทย ซึ่งมีจำนวนไม่ถึง 50% 2.กลุ่มผู้ที่รอพิสูจน์สัญชาติ 3.ชาวต่างชาติ ที่ข้ามมาจากพม่า อย่างไรก็ตาม สปสช.ดูแลได้เฉพาะคนไทยที่มีเลขบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่ 2 สธ.เป็นผู้ดูแลงบประมาณ และกลุ่มที่ 3 รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณผ่านสธ. เพื่อจัดสรรให้โรงพยาบาลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัด สปสช.ได้พยายามสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือมาโดยตลอด รวมถึงงบประมาณกองทุนย่อยก็ได้จัดสรรให้เพิ่มในฐานะโรงพยาบาลที่มีความยากลำบาก แม้จะไม่เพียงพอกับความต้องการก็ตาม

ทั้งนี้ รองเลขาธิการสปสช. กล่าวว่า ได้กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาไว้ 2 แนวทางคือ 1.ให้ความสำคัญกับโรงพยาบาลที่มีประเด็นเฉพาะมากขึ้น ซึ่งขณะนี้สปสช.กำลังร่วมกันคิดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าจะเพิ่มหลักการจัดสรรงบประมาณอย่างไร และ 2.อยู่ระหว่างหนุนนโยบายการหาเจ้าภาพเพื่อดูแลผู้ป่วยกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามารักษา กับสำนักงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลชายแดน ไม่ให้ต้องรับภาระ อย่างที่ นพ.วรวิทย์กำลังเผชิญ อย่างไรก็ตาม เจ้าภาพในกลุ่มที่ 2 คือสธ. และเจ้าภาพกลุ่มที่ 3 คือรัฐบาล ต้องช่วยกันดูแลด้วย เพราะสปสช.ไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้เพียงหน่วยงานเดียว เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ดูแลได้เฉพาะคนไทย

ด้าน นส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลอุ้มผางเพื่อมนุษยธรรม เปิดเผยว่า อันที่จริง ข้อเสนอของ ผอ.รพ.อุ้มผาง เหมาะที่จะใช้กับ รพ.ชายแดนที่ประชากรถือบัตรประชาชนไทยมีน้อย แต่โดยมนุษยธรรมต้องรักษาผู้ป่วยไร้สัญชาติและชายแดนด้วย ไม่ใช่เสนอให้ใช้วิธีนี้กับทกกรณี หรือทุกพื้นที่ การที่มีคนเอาจดหมายมาปล่อยเช่นนี้ จึงเป็นเพียงการหาประโยชน์จากเจตนาบริสุทธิ์จากแพทย์ดีๆ คนหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น เรียกว่า ฝั่งปลัดณรงค์ ผู้ตรวจ และ สสจ. ใช้กันทุกวิธี 

ทั้งนี้ จดหมายฉบับเต็มของนพ.วรวิทย์ ที่เขียนถึง นพ.สสจ.ตาก มีรายละเอียดดังนี้

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงพี่พูลลาภในสถานะที่ผมเป็นน้องนะครับ ผมใคร่อยากจะให้พี่รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานของรพ.อุ้มผางซึ่งพี่ก็เป็น สสจ.ตากอยู่แล้ว และคงเข้าใจบริบทได้ดี ให้พี่ได้พิจารณานะครับ
       
รพ.อุ้มผาง ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่กันดารระดับ 2 เป็นรพ.ระดับ M2 มีประชากรจากการสำรวจ 67,687 คน รวมชาวบ้านตะเข็บชายแดนด้วยแล้ว มีสิทธิบัตรทองจำนวน 25,099 คน ประกันสังคม 1,542 คน ข้าราชการ 1,312 คน บุคคลที่มีปัญหาสถานะฯ 5,352 คน ไม่มีหลักประกันสุขภาพ 34,382 คน ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งของประชากรทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ยากจนและอยู่ในพื้นที่กันดารห่างไกลจากรพ.มาก
       
นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ที่มีโรคติดเชื้อประจำถิ่นที่รุนแรงถึงชีวิตได้ เช่น มาลาเรีย ไข้ไทฟัส ไข้กาฬหลังแอ่น อหิวาตกโรค วัณโรค ฯลฯ
       
ปัญหาหลักด้านสาธารณสุขของชาวบ้านที่นี่ คือ การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ
       
มีโชคดีประการหนึ่งครับที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระองค์ท่านทรงสนพระทัยและเมตตาชาวบ้านมาก พระองค์ท่านทรงงานที่นี่ตั้งแต่ผมมาเริ่มทำงานตั้งแต่ปี 2534 แล้ว จึงมีโครงการสุขศาลาพระราชทานขึ้นมา โดยให้หน่วยงานสาธารณสุขและโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนช่วยกันดูแลชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลทุรกันดารเหล่านี้ โดยไม่แบ่งแยกว่าจะมีสิทธิในหลักประกันสุขภาพใดๆ หรือไม่ ต่อมาจึงขยายเป็นสุขศาลาหมู่บ้านอีกรวมเป็น 16 แห่ง ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขเราเข้าไม่ถึง และแก้ปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี
       
อย่างไรก็ดี รพ.อุ้มผางยังคงต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นสถานบริการหลักในการดูแลเครือข่ายทั้งอำเภอ เพราะมีทรัพยากร บุคลากร และศักยภาพสูงที่สุดในอำเภอนี้
       
ปัญหาที่ตามมาคือ รพ.อุ้มผางมีค่าใช้จ่ายในการดูแลประชาชนทั้งหมดในทุกมิติของงานด้านสาธารณสุขเกิดขึ้นมาก แต่มีประชากรที่มีสิทธิในหลักประกันสุขภาพเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งไม่มีหลักประกันสุขภาพ แถมยังอยู่ห่างไกล ทำให้มีต้นทุนให้บริการสูงกว่าธรรมดา
       
ทางรพ.พยายามบริหารทรัพยากรที่มีทั้งหมดอย่างเต็มที่ เหมือนอุดรูรั่วของโอ่งน้ำ และพยายามหาทรัพยากรเพิ่มเติม เช่น ขอรับบริจาคยาขยะจากที่ต่างๆ เพื่อมาใช้ในโรงพยาบาล ปีที่แล้วได้ถึง 1.7 ล้านบาท (รวมยาของ กปปส.ด้วยประมาณ 1 ล้านบาท) เราทำไบโอดีเซลจากการขอบริจาคน้ำมันพืชใช้แล้วจากทั่วทุกแห่ง รวมทั้งรพ.ในจ.ตากช่วยหาบริจาคให้ด้วย ได้น้ำมันไบโอดีเซล B100 ใช้พ่น Spray เพื่อควบคุมไข้เลือดออก และใช้เผาศพที่เสียชีวิตในโรงพยาบาล B70 ใช้เติมรถอีต๊อกซึ่งเป็นรถรีเฟอร์ของสุขศาลาที่อยู่ไกลๆ ให้ส่งต่อผู้ป่วยได้ แถมยังได้กลีเซอลีนมาทำน้ำยาขัดห้องน้ำด้วย ซึ่งต้องขอบคุณอ.วิชัย วงศ์สว่างรัศมี ซึ่งมาเป็นที่ปรึกษาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย เรายังบริหารจัดการเศษอาหารที่เหลือมาทำไบโอแก๊ส เพื่อใช้ทำอาหารให้ผู้ป่วยด้วย น้ำยาล้างจานเรายังผลิตเองเลยครับ (ต้นทุนลิตรละ 10 บาท ถ้าซื้อถูกที่สุดตกลิตรละ 20.78 บาท) แต่เรายืนยันให้การรักษาพยาบาลกับเพื่อนมนุษย์ทุกคนด้วยมาตรฐานเดียวกัน
       
มีน้องๆ นักศึกษาแพทย์มา Elective ที่รพ.อุ้มผาง แล้วถามผมว่า “ถ้าพี่รักษาคนไข้ไม่มีบัตรทุกคนอย่างนี้ รพ.จะอยู่ได้เหรอ” ผมตอบน้องไปด้วยเหตุผล ดังนี้ครับ
       
1.เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม และจรรยาบรรณในวิชาชีพด้านสาธารณสุขทุกสาขา ผมเลยถามกลับไปโดยใช้หลัก “ใจเขา ใจเรา” ของพระราชบิดาและอาจารย์หมอประสพ รัตนากรว่า ถ้าน้องเป็นหมออยู่ที่ ER แล้วมีคนไข้คลอดลูกไม่ออกมา น้องจะเรียกดูบัตรของคนไข้ก่อน ถ้าไม่มี จะไม่ช่วยเขาหรือ มีแพทย์คนไหนมีจิตใจที่จะทำอย่างนี้ได้บ้าง
       
2.คนไข้เหล่านี้ เป็นโรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และแพร่กระจายให้ทุกคนได้โดยไม่เลือกว่า จะมีหรือไม่มีบัตร เช่น มาลาเรีย เป็นต้น ยุงมันคงไม่เลือกกัดเฉพาะคนไม่มีบัตรหรอก มันกัดหมดทุกคนนั่นแหละ เพราะฉะนั้นถ้าจะควบคุมโรคให้ได้ จะต้องทำตามหลักการสาธารณสุขที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น (โดยให้หลัก Secondary prevention : Early Detection, Prompt Treatment) ไม่เช่นนั้นจะควบคุมโรคไม่ได้ ดังนั้นเหตุผลข้อนี้คือ การควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจาย
       
4.ประเทศไทยของเราได้แรงงานราคาถูก ทรัพยากรต่างๆ จากประเทศเพื่อนบ้านมากมาย ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว เราควรจะคืนผลกำไรดังกล่าว ในรูปงานสาธารณสุข งานด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคมต่างๆ กลับคืนไปบ้าง เปรียบเหมือน ถ้าเรามีเพื่อนแล้ว เราจะเอาแต่ผลประโยชน์จากเพื่อนอย่างเดียว โดยไม่มีน้ำใจหรือช่วยเหลือเพื่อนในเรื่องที่เค้าต้องการความช่วยเหลือบ้าง เพื่อนจะรู้สึกต่อเราอย่างไร หรือไม่ก็คิดว่าเป็น CSR ของประเทศเราก็ได้
       
ผมอธิบายให้น้องๆ นักศึกษาแพทย์ทุกคนฟัง ทุกคนก็เห็นด้วย และน่าจะเข้าใจด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์อย่างคนที่กำลังจะเป็นหมอควรจะเป็นว่า ทำไมรพ.นี้จึงไม่ปฏิเสธการรักษาคนไข้ทุกคนเลย
       
แต่ถึงแม้ว่าจะพยายามบริหารทรัพยากรอย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่นครับ รพ.อุ้มผาง จึงมีชื่อติดในรพ.ที่มีปัญหาสถานะทางการเงินระดับ 7 (ระดับรุนแรงที่สุด) และต้องของบสนับสนุนการดำเนินงานจากทุกหน่วยงานมาตลอด รวมถึง ขอรับบริจาคเงินหรือสิ่งของต่างๆ ซึ่งมีความไม่แน่นอน เพราะมีแต่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่มีมาตรการแก้ปัญหาระยะยาว และเป็นอย่างนี้มาตลอด 12 ปี ตั้งแต่มีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาเลยครับ
       
มาช่วงปีนี้แหละครับที่อาจารย์ณรงค์ (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข) มีแนวคิดที่จะช่วยแก้ปัญหาระยะยาวให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่มีปัญหาการเงินเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากรพ.อื่นอย่างชัดเจน โดยใช้หลักการ “มนุษยธรรมนำหน้า แล้วเอาเงินไปช่วยให้ดำเนินการได้” ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ และก่อนหน้านี้มีแนวคิดเรื่อง MOC (Minimum Operating Cost) ให้กับรพ.ที่มีปัญหา ผมก็เห็นด้วยครับ เพราะรพ.อุ้มผางที่ผมรับผิดชอบนี้ แม้ว่าพยายามบริหารจัดการอย่างไรแล้ว ก็ยังมีปัญหาอยู่ ผมจึงอยากจะฝากพี่ให้กำลังใจผู้บริหารของกระทรวงเราด้วยว่า ผมทำงาน 20 กว่าปีมานี้ ยุคนี้เรามีผู้บริหารที่ดีและเข้มแข็งที่สุดเท่าที่เคยเห็นเลยครับ ถ้าอาจารย์ท่านยึดหลักมนุษยธรรม ซึ่งเป็นหลักสากลที่อ้างอิงกับหลักศาสนาได้ทุกศาสนาแล้ว จิตใจของท่านจะกอรปไปด้วย สัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นอริยมรรคที่จะนำไปสู่ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กับกิเลสอันน่ารังเกียจของบุคคลอื่นๆ ได้ครับ
       
ถ้าพี่เจอผู้บริหารของ สปสช. ผมอยากจะฝากพี่เรียนอาจารย์ท่านด้วยนะครับว่า ตามความเห็นของผม ท่านก็เป็นคนดีนะครับ แต่ท่านเป็นคนดีที่ใจดำเกินไป และท่านไม่มีความรู้สึกในการจัดการด้วยความเป็นธรรมแบบมนุษยธรรม ท่านมีแต่ความรู้สึกเรื่องความเป็นธรรมแบบคณิตศาสตร์ อันเนื่องมาจากท่านขาดสติ (ระลึกรู้) จึงลืมไปว่า ท่านยังคงเป็นแพทย์อยู่ด้วย ทั้งยังมี มานะ (ความทรนงตน ความรู้สึกเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น) สูงอีกด้วย จึงนำจิตใจของท่านไปสู่การครอบงำของมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งปัญหาแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าอาจารย์สงวน ยังอยู่ เพราะอาจารย์ท่านเคยรับปากกับผมเองว่า จะขอใช้เวลา 3 ปี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแบบมนุษยธรรมขึ้นในประเทศไทยนี้ให้ได้
       
ผมมีข้อเสนอให้พี่ช่วยเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเรา และ สปสช. ดังนี้ครับ
       
1.สปสช. ควรยอมรับความจริงว่า มีรพ.ที่ต้องให้บริการตามหลักมนุษยธรรมอยู่ในประเทศไทยนี้ และไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยการบริหารการเงินแบบเดิมซึ่งใช้มากว่า 12 ปีแล้ว โดยใช้หลักเอาเงินเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง จนเปลี่ยนวัฒนธรรมของบุคลากรสาธารณสุขที่เคยใช้ “ใจ” เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับผู้ป่วย มาเป็น “เงิน” หรือ “กฎเกณฑ์” ต่าง ๆ แทน
       
2.ขอให้จัดสรรเงินดำเนินการให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ให้ดำเนินการได้ โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ประสบปัญหาการเงินอย่างเรื้อรัง จะเรียกอย่างไรก็ได้ครับ และใช้หลักการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของโรงพยาบาลแต่ละระดับด้วย (โดยเฉพาะรพ.ที่เป็นปัญหาดังกล่าว)
       
3.ฝากเรียนท่านผู้เห็นต่างกับแนวทางที่กระทรวงเราเสนอนี้ ให้ช่วยเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้สถานบริการที่ประสบปัญหาด้วย เพราะท่านไม่ได้ประสบปัญหาด้วยตนเอง ก็เลยไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ มิฉะนั้นจะกลายเป็นการติที่ไม่สร้างสรรค์
       
รบกวนเวลาของพี่เยอะเลยครับ ผมเขียนด้วยความรู้สึกและข้อเท็จจริง ผมดีใจที่มีโอกาสได้ทำงานกับพี่ครับ และผมภูมิใจมากครับที่ผมทำงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งพวกเราทุกคน ช่วยกันทำสิ่งที่ดีให้กับสังคมมากมาย เพียงแต่ไม่ได้ประชาสัมพันธ์บอกใครเท่านั้น (งบจะดำเนินการยังไม่พอ จะไปใช้เงินทำประชาสัมพันธ์ได้อย่างไรครับ) เปรียบเหมือนกับพวกเราทำงานแบบ ปิดทองหลังพระ แต่ผมเคยได้ยิน ในหลวงตรัสไว้ว่า “พระทั้งองค์จะงามสง่าได้อย่างไร ถ้ามีแต่คนที่จะปิดทองด้านหน้าของพระเท่านั้น”
       
กราบขอบคุณพี่พูลลาภเป็นที่สุดครับ ที่กรุณาอ่านจนจบ และขอเป็นกำลังใจให้ชาวสาธารณสุขทุกคนด้วยครับ