ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ค้านข้อเสนอปฏิรูประบบสุขภาพของ กมธ.สปช. ชี้ ถอยหลังลงคลอง ไม่ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่แนวทางไปสู่ปฏิรูป แจงข้อเสนอขาดความรอบด้านและหลักฐานเชิงประจักษ์ ค้านตั้งบอร์ดสุขภาพชาติ เหตุซ้ำซ้อนซ้ำภารกิจไม่ชัดเจน ดูทั้งนโยบาย การเงิน การบริการ ขัดหลักการแบ่งแยกผู้ซื้อ-ผู้ให้บริการ ไม่เห็นด้วยให้เขตสุขภาพซื้อบริการแทนประชาชน

วันที่ 25 มีนาคม 2558 กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เครือข่ายผู้ป่วยเรื้อรัง เครือข่ายนักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสุขภาพและการคุ้มครองบริโภค ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อคณะกรรมาธิการปฎิรูปสาธารณสุข ต่อประเด็นการนำเสนอรายงานเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (ดูข่าว ที่นี่)

นส.ณัฐกานต์ กิจประสงค์ ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่าตามที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปการสาธารณสุข สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จะนำเสนอรายงานเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของ สปช.พิจารณาในวันนี้ (25 มี.ค.) เห็นว่า ข้อเสนอในรายงานของคณะกรรมาธิการดังกล่าวนอกจากจะไม่เป็นการปฏิรูปแล้ว ยังมีลักษณะถอยหลังเข้าคลอง ไม่ได้ลดความเหลื่อมล้ำ หรือสร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพแต่อย่างใด อีกทั้งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของสภาปฏิรูปแห่งชาติ

นส.ณัฐกานต์ กล่าวว่า การวิเคราะห์ปัญหาของการปฏิรูปการคลังด้านสุขภาพขาดความรอบด้านและหลักฐานเชิงประจักษ์ เช่น จากการที่คณะกรรมาธิการฯ ตั้งประเด็นว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเติบโตเร็วกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปีนั้น คณะกรรมาธิการฯ มองข้ามปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพ ต้องหาหลักฐานเชิงประจักษ์ประกอบว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพไปเพิ่มขึ้นมากในส่วนใด เช่น การที่เงินเดือนบุคลากรเพิ่มร้อยละ 10 ทุกปี หรืออาจไปกระจุกที่ค่ายารักษาโรค ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมากใน 3 ระบบสุขภาพ รัฐจ่ายให้ระบบสวัสดิการข้าราชการ มากกว่า ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติถึง 6 เท่า และจ่ายให้กับคนงานในระบบระบบประกันสังคมน้อยมาก การเหมารวมเช่นนี้จะทำให้เกิดภาพปัญหาที่พร่าเลือนและเสนอแนวทางปฏิรูปที่ผิดทาง

“คณะกรรมาธิการฯ ไม่ได้มองปัญหาที่รัฐไม่มีกลไกการควบคุมราคายาที่มีประสิทธิภาพ, ไม่มีมาตรการกำกับเรื่องการตั้งราคายาต้นตำรับ หรือ การไม่สนับสนุนการใช้ยาชื่อสามัญ รวมถึงการผลักดันนโยบายการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติ ซึ่งอาจจะไปทำให้ภาพรวมทั้งด้านงบประมาณ บุคคลากรและคุณภาพด้านสาธารณสุขมีปัญหา” ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพกล่าว

นางสาวณัฐกานต์ กล่าวต่อว่า การที่คณะกรรมาธิการฯ เสนอให้จัดตั้ง National Health Policy Board (NHB) ไม่ตอบโจทย์เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพที่เป็นโจทย์ใหญ่ของปัญหา, มีความซ้ำซ้อนกับกลไกที่มีอยู่แล้ว เช่น คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ขณะที่ภารกิจไม่ชัดเจน เพราะดูทั้งนโยบาย การเงิน และการบริการ ขัดหลักการแบ่งแยกผู้ซื้อบริการและผู้ให้บริการ (Provider-Purchaser Split) หรือการเสนอให้สร้างกลไกในการกระจายค่าเหมาจ่ายรายหัวไปยังเขตสุขภาพโดยตรง โดยเขตสุขภาพทำหน้าที่เป็น Purchaser โดยมีกระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่กำกับและประเมินผลนั้น แสดงให้เห็นว่า คณะกรรมาธิการฯ ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานของระบบสุขภาพต่างๆในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่ใช่มีเพียงกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการอยู่เพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว

“ข้อเสนอให้คำนวณค่าเหมาจ่ายรายหัวในระดับประเทศ เป็นระบบปลายปิด และการควบคุมค่าใช้จ่าย ควบคุมคุณภาพบริการ และความครอบคลุมของบริการโดยให้พื้นที่มีส่วนมากที่สุดนั้น ควรต้องทำเหมือนกันทุกกองทุนสุขภาพเพื่อการจัดการงบประมาณที่เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพสูงสุด กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการปฏิรูประบบสาธารณสุข และที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ปรับปรุงรายงานตามข้อเสนอและข้อสังเกตของกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการสาธารณสุขอย่างแท้จริงต่อไป” นส.ณัฐกานต์ กล่าว

นายธนพล ดอกแก้ว ชมรมเพื่อนโรคไต กล่าวว่า มีข้อสังเกตเรื่องสัดส่วนการป้องกันโรคซึ่งน้อยมากเพียงร้อยละ 4.5 เท่านั้น และมีที่มาจากงบประมาณของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น ขณะที่ระบบสุขภาพอื่นๆ กลับไม่มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องการป้องกันโรค ทั้งๆ ที่เป็นประเด็นสำคัญในการปฏิรูประบบการสาธารณสุขที่เน้น ‘สร้างนำซ่อม’ กังวลในประเด็นที่ว่า ยังมีประชากรบางกลุ่มเข้าไม่ถึงการรักษา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีแนวทางในการจัดการปัญหานี้ ที่ชัดเจน เช่น มีกลุ่มประชากรใดบ้าง และจะบริหารจัดการอย่างไร

“ขณะที่ประเด็นงบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพนั้น ขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการฯ พูดให้ชัดว่า การเติมเงินเข้าสู่ระบบสุขภาพมีหลายช่องทาง โดยเน้นการใช้มาตราการภาษี ซึ่งต้องสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบการเสียภาษี และรัฐนำภาษีมาจัดเป็นรัฐสวัสดิการที่เป็นธรรมสำหรับคนทุกคน การสร้างระบบสำหรับผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานข้ามชาติ ต้องมีความเป็นธรรมในด้านราคา และการสนับสนุนให้เข้าถึงบริการได้เมื่อเจ็บป่วย รวมถึงต้องจัดการลดความซ้ำซ้อนและยุ่งยากในการใช้สิทธิในแต่ละระบบหลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะ กองทุนผู้ประสบภัยจากรถ” ประธานชมรมเพื่อนโรคไตกล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่มีรับจดหมายคือ นาวาอากาศเอกไพศาล จันทรพิทักษ์ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งได้กล่าวว่า จะทำให้ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯเป็นประโยชน์ที่สุด