ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

หลังจากได้เผยแพร่ข้อเขียนจาก Facebook/Sakda Alapach หรือ นพ.ศักดา อัลภาชน์ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักบริหารการสาธารณสุข ซึ่งได้เขียนเป็นซีรีส์ใน Facebook ในชื่อซีรีส์ "หมอถูกการเมืองเล่น" โดยใช้ชื่อผู้เขียนว่า Dr.Man ซึ่งสำนักข่าว Health Focus ได้นำมาเผยแพร่ไปแล้ว 4 ตอนในคอลัมน์ไม่มีผิด ไม่มีถูก และทราบว่าภายหลังได้เขียนอีก 2 ตอน จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อ ซึ่งตอนที่ 5 "บริหารแบบ เคาะกะลา เรียกคนมาสวามิภักดิ์" นี้ได้เผยแพร่ทาง Facebook ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.58 และตอนที่ 6 "กลยุทธ์การถอย" เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.58 (สำหรับบทความ ตำนานบัตรทอง ของ นพ.วิชัย โชควิวัฒน จะนำมาเผยแพร่ต่อในตอนที่ 6 ค่ะ)

ซีรีส์ "หมอถูกการเมืองเล่น" ตอนที่ 5 "บริหารแบบ เคาะกะลา เรียกคนมาสวามิภักดิ์"

เรื่องราวที่จะบันทึกไว้ ต่อไปนี้ ผมมีแรงบันดาลใจ จากการที่มีโอกาสมาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข ได้รับรู้ รับทราบ เรื่องการบริหารงานระดับกระทรวง เชื่อมโยงกับการบริหารอำนาจในระดับชาติ จึงอยากจะบันทึกเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้น ในมุมมองของผมเชื่อมโยงกับเรื่องราว เรื่องเล่าในอดีตเท่าที่ผมจะมีความทรงจำ โดยตั้งใจจะเขียนเป็นตอนๆ สั้นๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเรื่องหรือหมดแรง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนและแบ่งปัน สำหรับผู้อ่านที่สนใจ หรือถ้าไม่มีใครสนใจก็เป็นการบันทึกให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป เชิญติดตามได้เลยครับ

ตอนที่ 5 "บริหารแบบ เคาะกะลา เรียกคนมาสวามิภักดิ์"

ผู้บริหารระดับสูงเวลาได้อำนาจมาแล้วสิ่งแรกๆ ที่ต้องทำไม่ว่ายุคไหนๆ คือเรียกคนมาสวามิภักดิ์ เพียงต่างกันที่รูปแบบปัจจุบันนิยมเรียกมาฟังนโยบายจะได้เช็คกำลังและประเมินท่าทีไปพร้อมๆ กัน สมัยสามก๊กนิยมเรียกมากินโต๊ะ

ขอเล่าเรื่องของ ตั๋งโต๊ะ เป็นตัวอย่าง เนื่องจากติดลมจากตอนที่ 4

เมื่อตั๋งโต๊ะยึดอำนาจจากขันทีได้ ก็ตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการมีอำนาจเบ็ดเสร็จ พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นฮ่องเต้แต่ในนาม
ตั๋งโต๊ะใจอยากเป็นฮ่องเต้เองแต่ต้องรอจังหวะ จึงดำเนินอุบายทำตนเสมือนฮ่องเต้โดยให้คนทั้งปวงเรียกตนเองว่า ซ่องฮู แปลว่าบิดาเลี้ยงของพระเจ้าเหี้ยนเต้

การเดินทางจาก เม่ย์หวู (เมืองใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยวังของข้าราชการและขุนทหารตระกูล แซ่ตั๋ง) มายัง เตียงฮัน เมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ (ซึ่งนานๆ จะมาที) ก็สั่งให้จัดกระบวนแห่อย่างฮ่องเต้เสด็จ

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ตั๋งโต๊ะ ออกจากเฝ้าฮ่องเต้ เมื่อขุนนางทั้งปวงมาส่งออกนอกเมืองหลวง (ซึ่งทำประจำแบบฮ่องเต้) ตั๋งโต๊ะได้สั่งให้ขุนนางทั้งปวงร่วมกินโต๊ะพร้อมกับข้าราชการและขุนทหารจากภูมิภาคร่วม 500 คน ที่ตั๋งโต๊ะเรียกมา

งานเลี้ยงครั้งนี้ขุนนางส่วนกลางทั้งปวงคงหวาดกลัวและจดจำไปจนตาย เพราะเป็นการกินโต๊ะที่มีการ ฆ่าโชว์ ที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก คนที่เป็นเหยื่อการฆ่าโชว์คือข้าราชการและขุนทหารส่วนภูมิภาคนั่นเอง ด้วยข้อหาสุดแต่จะคิดออกเช่น เคยเป็นโจร กระด้างกระเดื่อง หรือสวามิภักดิ์ช้า เป็นต้น

เรื่องเรียกคนมาสวามิภักดิ์ เพื่อเช็คกำลัง ขู่ให้กลัวแบบเชือดไก่ให้ลิงดูทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่เช่นในกระทรวง สธ. ประเทศสารขัณฑ์

เมื่อเจ้ากระทรวงเด็ดหัวเบอร์ 1 ฝ่ายประจำเมื่อเกือบ 80 วันก่อน (5 มี.ค.) ก็สั่งให้มีการประชุมทางไกล (Tele conference) ทำไม ไม่เรียกประชุมต่อหน้าก็ไม่รู้ หรือว่ากลัวการต่อต้านเพราะมีการแสดงความไม่เห็นด้วยมากมาย ทั้งโดยการขึ้นป้าย สื่อ Social Media และสื่อกระแสหลักก็เล่นข่าวตลอดเดือน มี.ค. และยังประกาศจะไม่มีการโยกย้ายรอตัวจริง (สัจจะ)  และซาลงเมื่อเข้าสู่เดือน เม.ย.(เดือนมงคลทุกคนใส่สีม่วง)

แต่การเคาะกะลาเรียกยังมีอย่างต่อเนื่อง เช่น ปล่อยข่าวจะย้ายรองปลัด สธ.ไปเป็นผู้ตรวจราชการ, ย้ายเขตผู้ตรวจราชการ (อาจทำจริง) บอกว่าไม่ย้าย แต่ปล่อยข่าวว่าจะย้าย นพ.สสจ., ผอ.รพศ./รพท. 20 คน สุดท้ายย้ายจริง (เสียสัจจะ)เมื่อปลาย เม.ย. โดยย้าย นพ.สสจ. ลูกน้องคนสนิทที่มีปัญหาในการทำงาน ไปยังจังหวัดที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งจะเกษียณอีก 5 เดือนไปรับกรรมแทน (ตอนนี้ผู้บริหารในส่วนภูมิภาคคงได้ข้อสรุปแล้วว่าอยากเป็นลูกน้องหรืออยากเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาดี) มีการใช้โทรศัพท์พูดคุยรายตัวรายกลุ่มแบบเจาะลึก เรียกว่าทั้งเคาะกะลาเเละเชือดให้ดูเป็นตัวอย่าง
น่าสนใจว่าการบริหารแบบเคาะกะลาเพื่อเรียกคนมาสวามิภักดิ์จะได้ผลหรือไม่ ? คำตอบน่าจะพอมีให้เห็นเมื่อผู้บริหารส่วนภูมิภาคกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ทดสอบอำนาจโดยไม่กลัวเกรงโดยการแต่งชุดดำมายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี โดยมีทีมเลขารัฐมนตรีมารับเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

แล้วกาลต่อไปจะเป็นเยี่ยงไร น่าติดตามครับน่าติดตาม

By Dr.Man

ซีรีส์ "หมอถูกการเมืองเล่น" ตอนที่ 6 (จบ) "กลยุทธ์การถอย"

ขงเบ้งกล่าวไว้ว่า "ผู้ที่รู้จักแพ้จะไม่ตาย"

ในช่วงที่ขงเบ้งป่วยหนัก เขาได้สั่งให้เอียวหงีไว้ว่า "หลังจากที่ข้าตายไปแล้ว อย่าจัดงานศพเป็นอันขาด ให้ทัพหลังถอยไปก่อน จากนั้นค่อยๆ ถอยทีละค่าย ถ้าสุมาอี้ตามมา ท่านจงจัดขบวนตั้งรับ ชูธงรัวกลองตีตลบกลับไป เมื่อสุมาอี้มาถึงก็ให้เอารูปปั้นของข้าตั้งไว้ในรถ จัดทหารอารักขาซ้ายขวาแห่มาเป็นขบวนแรก สุมาอี้เห็นเข้าก็ตกใจหนีไปเอง" ซึ่งก็เป็นจริงดังคาด

การที่กองทัพกองหนึ่งยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพ่ายแพ้นั้น มีค่ายิ่งกว่ากองทัพที่สามารถรุกคืบหน้าภายใต้เงื่อนไขแห่งชัยชนะเสียอีก

ดังคำที่ว่า "การถอยร่นนั้นมีค่าเท่ากับรุก" การถอยแต่ละครั้งล้วนมีทีเด็ดใหม่ๆ สามารถเล่นงานคู่ต่อสู้จนทำให้หัวหมุน อีกทั้งยังทำให้ข้าศึกไม่สามารถจับวิธีการเคลื่อนไหวของฝ่ายเราได้ นี่คือรูปธรรมของกลยุทธ์การถอยระดับเซียน

เรื่องคล้ายๆ อย่างนี้ยังคงเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันเช่นเรื่องในกระทรวงสาธารณสุข ของประเทศสารขัณฑ์

เมื่อฝ่ายการเมืองได้กำจัดหัวหน้าฝ่ายประจำได้สำเร็จ ฝ่ายประจำคิดจะอยู่เงียบๆ รอดูผลสอบประกอบกับเกรงใจทหารที่เสี่ยงชีวิตมามากแล้วเพื่อจัดการบ้านเมือง แต่อีกฝ่ายก็มีความฮึกเหิมที่จะรุกต่อเนื่องโดยจัดทัพใหม่ในส่วนกลาง มีการโยกย้ายผู้ช่วยปลัดไปให้ไกล และจะส่งคนของตนเองเข้ามา มีการขู่ว่าจะเตรียมโยกย้าย มีการเตรียมผู้บริหารบางส่วนไปเข้าค่าย AFเพื่อปรับทัศนคติ ดังนั้นปฏิบัติการถอยเพื่อรุกจึงเกิดขึ้นโดยการรวมพลังที่จะต่อสู้ฝ่ายการเมืองไม่ให้รุกมากกว่านี้ ทั้งข้อมูลข้อเรียกร้องที่แหลมคมพร้อมปฏิบัติการ "9 มิ.ย." สื่อต่างก็เล่นด้วยพรึบพรับ ดูเหมือนจะถอยอย่างมีชั้นเชิงที่ทำท่าว่าจะพ่ายแพ้ แต่ก็มีการตอบโต้ที่ทำให้อีกฝ่ายหัวหมุนไปตามกัน (ที่สำคัญทหารดูจะเข้าใจเหตุการณ์ใน สธ.มากขึ้น ทราบว่ามีการเรียกใครบางคนไปตำหนิด้วย)

สำหรับ Dr.man มีข้อมูลเชิงลึกใกล้ชิดส่วนกลาง ก็โดนพิษ "สามก๊ก" เป็นผลให้ต้องกลับไปรับใช้บ้านเกิดในจังหวัดแดนใต้ แต่ก็ยังมีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป คงต้องอำลาสามก๊กไปก่อนเนื่องจากอยู่ห่างไกลข้อมูลเชิงลึกที่จะเขียนต่อได้ สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดเมื่อมีผู้ที่ติดตามสามก๊กที่ส่วนกลางคนหนึ่งยินดีที่จะเป็นช่วยเขียนในตอนต่อไป โปรดติดตาม