ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เจ้าหน้าที่ระดับสูง สพฉ.ยื่นหนังสือ ร้องเรียน นพ.อนุชา เลขาธิการ สพฉ.ถึง รมว.สธ.ขอให้แก้ไขปัญหาความไม่โปร่งใสในการบริหารงาน ทั้งการจัดโครงสร้าง การตั้งสำนักย่อยไม่ผ่านบอร์ด แต่งตั้ง ผอ.สำนักยุทธศาสตร์ โดยไม่มีประกาศรับสมัคร และการเลือกปฏิบัติ ด้าน รมว.สธ.ระบุเป็นเรื่องภายในที่มีการร้องเรียนกันมา พร้อมตั้ง นพ.ชาตรี ที่ปรึกษาเป็นประธาน คกก.สอบข้อเท็จจริง

นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ทำหนังสือลงวันที่  20 ตุลาคม 2558 ส่งถึง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) โดยร้องเรียน นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการ สพฉ. เรื่องความไม่โปร่งใสในการบริหารจัดการงานของ สพฉ.โดยเฉพาะกรณีการจัดโครงสร้างหน่วยงาน การตั้งสำนักย่อยโดยไม่ผ่านการพิจารณาของบอร์ด สพฉ. การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ และเจ้าหน้าที่พวกพ้องโดยไม่มีการประกาศรับสมัครตามระเบียบ รวมทั้งมีการแต่งตั้งโยกย้ายสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่อย่างไม่เป็นธรรม และเลือกปฏิบัติ ซึ่ง นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในที่มีการร้องเรียนกัน ซึ่งได้การร้องเรียนมาทางตนด้วย แต่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า จริงหรือไม่ จึงต้องสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ก่อน โดยได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา มี นพ.ชาตรี บานชื่น ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ เป็นประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ

แหล่งข่าวภายใน สพฉ. ระบุว่า จนถึงปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องการสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามที่ได้ร้องเรียนไป แต่ทางเจ้าหน้าที่จะติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะหากไม่มีการแก้ไขปัญหาจะทำให้ภาพลักษณ์ ของ สพฉ.เสียหาย การทำงานเกิดภาวะถดถอย รวมทั้งส่งผลเสียต่อการบริหารจัดการงบประมาณการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบ เพราะงบประมาณกองทุนการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้รับมาอาจจะไม่เพียงพอกับการชดเชยค่าปฏิบัติการที่มีมากกว่า 1.4 ล้านครั้งต่อปี เฉลี่ยครั้งละประมาณ 525 บาท และกระทบกับการของบประมาณในปีถัดไป

ทั้งนี้ประเด็นหลักที่มีการร้องเรียนคือมีการแต่งตั้งรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ด้านบริหาร มาเป็น ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ ทั้งที่ไม่เคยทำงานด้านยุทธศาสตร์ การบริหารงบกองทุน และการจัดทำแผนคำของบประมาณมาก่อน และไม่มีการเปิดรับสมัครตามระเบียบราชการ ผลจากการที่ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ไม่มีความรู้ และประสบการณ์ ทำให้การบริหารงานด้านยุทธศาสตร์ และการบริหารงานงบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการขอรับงบประมาณให้สำนักงบประมาณเชื่อมั่นได้ว่าหากให้งบประมาณไปตามที่ขอ สพฉ.จะดำเนินงานเป็นไปตามดัชนีชี้วัดและประชาชนได้รับประโยชน์อย่างไร

“ในปีงบประมาณ 2558 นั้น สพฉ.ได้รับงบประมาณ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) งบบริหารของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ประมาณ 186 ล้านบาท และ 2) งบกองทุนการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อนำไปจัดสรรให้กับหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินที่ได้ให้บริการประชาชนจำนวน 790 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ 2559  สพฉ. ได้รับกองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน เพียง 720 ล้านบาท ส่วนงบบริหารสถาบันได้รับงบประมาณ 238 ล้านบาท” ทำให้งบประมาณที่ได้มาไม่เพียงพอกับการชดเชยค่าปฏิบัติการ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีมากกว่า 1.4 ล้านครั้งต่อปี”

แหล่งข่าวรายนี้ กล่าวต่อว่า สำหรับงบประมาณในส่วนของสถาบันที่ได้เพิ่มนั้น เป็นงบลงทุน มีที่มาจากการของบไปเมื่อปีงบประมาณ 2558 แต่ยังไม่ได้รับ ทางสำนักงบประมาณเพิ่งพิจารณาจัดสรรให้ในปีงบประมาณ 2559 จำนวน 50 ล้านบาท เพื่อนำมาปรับระบบการสื่อสาร โดยปรับจากระบบไดอะลอค มาเป็นระบบดิจิตอล ซึ่งจะช่วยรองรับระบบการให้คำปรึกษา/แนะนำระหว่างหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินกับแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (แพทย์ EP) ที่มีความพร้อมให้คำปรึกษาในขณะนั้น และในการปรึกษานั้นระบบต้องรองรับได้ทั้งภาพและเสียง ซึ่งงบลงทุนนี้ส่วนหนึ่งก็จะนำมาพัฒนาระบบสื่อสารทางวิทยุ เพื่อใช้ในการสื่อสารกรณีที่เกิดภัยพิบัติจนทำให้ระบบปกติเกิดล้มเหลวใช้การไม่ได้

“จากการที่ผู้บริหารสำนัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นสำนักที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานการแพทย์ฉุกเฉิน แต่ไม่มีประสบการณ์ด้านการบริหารยุทธศาสตร์ การบริหารงบกองทุนและประสบการณ์ในการชี้แจงกับสำนักงบประมาณ ทำให้ สพฉ.ได้รับงบประมาณน้อยลงมาก ทั้งงบประมาณกองทุน และงบประมาณสถาบัน ส่งผลให้งบบริหารไม่เพียงพอต้องมาเบียดบังงบกองทุน ไปใช้ทำให้เสี่ยงกับการใช้เงินกองทุนไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และอาจจะทำให้ สพฉ. ไม่สามารถจ่ายเงินชดเชยค่าปฏิบัติการให้กับหน่วยปฏิบัติการได้ตามที่ได้ให้บริการไป” แหล่งข่าวรายนี้ กล่าวและระบุต่อว่า นอกจากนี้การบริหารงบกองทุนก็ถูกแทรกแซงจากผู้บริหารระดับสูงของ สพฉ.โดยให้อำนาจผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ ดำเนินการได้ ทั้งที่ผ่านมาการบริหารงบกองทุนจะบริหารผ่านรูปแบบกลไกคณะกรรมการกองทุนการแพทย์ฉุกเฉินเท่านั้น

ทั้งนี้สำนักข่าว hfocus อยู่ระหว่างติดต่อสัมภาษณ์ นพ.อนุชา ถึงรายละเอียดและข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว