ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข เผย อัตราการติดเชื้อเอชไอวีในทารกแรกเกิดในประเทศไทยเกือบเป็นศูนย์ พร้อมเตรียมเสนอองค์การอนามัยโลกรับรองการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก

นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายในงานวันเอดส์โลก Ready to stop new infection มุ่งสู่การยุติการติดเชื้อรายใหม่ในทารกแรกเกิด ณ ศูนย์อนามัยที่ 2 สระบุรี ว่า นับตั้งแต่ประเทศไทยมีการรายงานการติดเชื้อเอชไอวีในหญิงตั้งครรภ์เมื่อปี 2531 จากนั้นได้พบการขยายตัวอย่างรวดเร็วของปัญหาการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ทำให้หลายองค์กรในประเทศไทย ทั้งภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรนานาชาติ ได้ร่วมมือกันพัฒนาโครงการนำร่องและการวิจัยในด้านการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้สถานบริการสาธารณสุข ดำเนินงานป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก โดยผสมผสานเข้ากับระบบบริการอนามัยแม่และเด็กของโรงพยาบาล

เริ่มตั้งแต่ให้บริการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีในหญิงตั้งครรภ์ และให้นมผสมสำหรับทารกที่คลอดจากแม่ติดเชื้อ เอชไอวี ตั้งแต่ปี 2536 และเริ่มมีการให้ยาต้านไวรัสสูตร Zidovudine (AZT) ในแม่และทารกเพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกตั้งแต่ปี 2543 และมีการปรับเปลี่ยนสูตรยาต้านไวรัสเรื่อยมา จนกระทั่งได้แนะนำให้ยา Highly Active Antiretroviral Therapy (HAART) โดยเร็วที่สุดและต่อเนื่องหลังคลอด เพื่อลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกเป็นการดำเนินการตามมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับหลายประเทศ

นพ.ปิยะสกล กล่าวต่อว่า ผลทางการศึกษาพบว่า การให้ยา HAART สามารถลดการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้ประมาณ ร้อยละ 1 และไม่ก่อให้เกิดปัญหาการดื้อยาเมื่อหยุดยาหลังคลอด สำหรับเด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับยาต้านไวรัสหลังคลอดทันที และจะได้รับนมผสมทดแทนนมแม่เป็นเวลา 18 เดือน และตรวจรับการวินิจฉัยติดเชื้อเอชไอวีอย่างรวดเร็วภายใน 4 เดือน ซึ่งแม่และลูกหลังคลอดจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง หญิงตั้งครรภ์ที่มีผลเลือดเอชไอวีลบจะได้รับคำแนะนำปรึกษา เพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงและให้คงผลเลือดลบตลอดไป ตลอดจนมีระบบกำกับ ติดตาม การดำเนินงานที่เข้มแข็ง ได้มาตรฐานเพื่อการเฝ้าระวังงานทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่

"จากผลการดําเนินงานในช่วงปี 2553 - 2554 ความครอบคลุมในการให้บริการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกอยู่ในระดับสูง คือ หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 94.1 และเด็กที่เกิดจากแม่ติดเชื้อร้อยละ 99 ได้รับยาต้านไวรัสเพื่อลดการติดเชื้อในทารกแรกเกิด ทําให้มีอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในทารกแรกเกิด ร้อยละ 1.80 – 2.01 ซึ่งการให้บริการการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและเชื้อซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกมีกระบวนการดำเนินงานที่มีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของทั้งระดับสากล และผู้ใช้บริการ

ทั้งนี้ ผลลัพธ์การดำเนินงานสามารถควบคุมการติดเชื้อในทารกแรกเกิดได้ โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวีและเชื้อซิฟิลิส แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ มีความพร้อม ที่จะเข้าสู่การรับรองจากองค์การอนามัยโลก ในการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและเชื้อซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในปี 2558 นี้ กรมอนามัยได้เข้าสู่กระบวนการในการขอรับรอง การยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและเชื้อซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก (Validation : Elimination of Mother to Child Transmission (EMTCT) of HIV and syphilis) โดยได้ดำเนินการ อาทิ แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อการขอรับรองการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและเชื้อซิฟิลิสจากแม่สู่ลูก พร้อมทั้งมีคณะทำงานตรวจสอบข้อมูลด้านการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ด้านระบบข้อมูลและผลลัพธ์การดำเนินงานป้องกัน ข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกัน ตลอดจนขอความร่วมมือไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพื่อลงข้อมูล กำกับติดตามการดำเนินงานของหน่วยบริการ เป็นต้น

"เนื่องจากที่ผ่านมามีหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 4,500 คนต่อปี ซึ่งหากไม่มีการป้องกันมีโอกาสถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่ส่ลูกได้ 100 คน มาตรการที่กรมอนามัยดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 ประกอบด้วย

1) สถานบริการสาธารณสุขทุกเครือข่าย ควรจัดให้มีการบริการปรึกษาทั้งก่อนและหลังการตรวจหาเอชไอวีอย่างมีคุณภาพ ควรให้คำปรึกษาแบบคู่ และเก็บผลการตรวจเป็นความลับอย่างเคร่งครัด โดยแจ้งให้ทราบเฉพาะรายบุคคลและผู้ที่ได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีอนุญาตเท่านั้น

2) หญิงตั้งครรภ์ทุกคนและสามีหรือคู่ครอง จะได้รับการปรึกษาแบบคู่และตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจ หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ เอชไอวีจะได้รับการตรวจเซลล์ CD4 และได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์สูงหรือรักษาด้วยยาต้านไวรัสอื่นๆ

3) เด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับยาต้านไวรัส เมื่อแรกเกิดจะได้รับนมผสมสำหรับเลี้ยงเด็กทารก และได้รับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี

และ 4) แม่ ลูก และสามีหรือคู่ครองที่ติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับยาต้านไวรัสตามการติดเชื้อ การส่งเสริมสุขภาพ และติดตามการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว