ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

“นิมิตร์” โวย คกก.กฤษฎีกาตีความการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพห้าม รพ.ใช้งบรายหัวในหลายประเด็น ส่งผลกระทบเจ้าหน้าที่ทำงานรักษาผู้ป่วยยากขึ้น ติดขัดระเบียบล้าหลัง ชี้ตีความคับแคบ ทำลายขวัญกำลังใจคนทำงาน ทำคนไม่อยากอยู่ในระบบ ผลักเอกชนไม่อยากมาร่วมให้บริการ 30 บาท เพราะข้อจำกัดของระเบียบ สุดท้ายผลกรรมตกที่ประชาชน ลั่นตั้งแต่มี คสช.หลักประกันสุขภาพไทยมีแต่เรื่อง ทำลายของดีๆ ที่ทำกันมา ชี้พฤติกรรมสวนทาง ปากบอกไม่ล้ม ก็เหมือนล้ม

นายนิมิตร์ เทียนอุดม อดีตกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ภาคประชาชน เปิดเผยว่า สถานการณ์ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยขณะนี้น่าเป็นห่วงมาก แม้รัฐบาล คสช. นายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข จะยืนยันชัดเจนว่าไม่ล้ม 30 บาทแน่นอน มีแต่จะทำให้ดีขึ้น แต่คงต้องบอกว่า ไม่ล้มก็เหมือนล้ม เพราะตอนนี้จากผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่เพิ่งออกมา ได้ทำลายหลักการของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยไปแล้ว เนื่องจากได้ห้าม รพ.ในระบบ 30 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็น รพ.สังกัด สธ.นำเงินรายหัวไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายประจำของ รพ. เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราว ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาของเจ้าหน้าที่ ค่าตอบแทนภาระงาน โดยระบุว่า เพราะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขที่ตีความคับแคบว่าต้องจ่ายตรงให้ผู้ป่วย ซึ่งทำให้เกิดปัญหามาก

นายนิมิตร์ กล่าวว่า เมื่อก่อน รพ.ได้รับเงินเหมาจ่ายรายหัว และนำไปใช้จ่ายในหมวดเงินบำรุง ซึ่งการใช้จ่ายเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างลูกจ้าง ทั้งหมดก็เพื่อบริการประชาชน ถ้าไม่เอาเงินตรงนี้ รพ.จะเอางบประมาณที่ไหนไปจัดการเรื่องแบบนี้ ส่วนเรื่องค่าจ้างบุคลากร ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าภาระงานจากการรักษาผู้ป่วยมีมาก และรัฐยังกำหนดกรอบอัตรากำลังไว้ ถ้าไม่จ้างลูกจ้างชั่วคราวด้วยเงินนี้ แล้วจะหาบุคลากรมาให้บริการประชาชนได้อย่างไร ถ้าต้องรอแค่กรอบอัตรากำลังจากรัฐ

หรือการจ่ายค่าตอบแทนตามภาระงาน การทำงานนอกเวลา ก็เพื่อขวัญกำลังใจบุคลากร เพราะงานบริการสาธารณสุขต้องทำงาน 24 ชั่วโมง ลำพังทำงานก็หนักอยู่แล้ว แต่เงินตรงนี้ยังไม่สามารถใช้จ่ายได้อีก ก็เท่ากับทำลายขวัญกำลังใจคนทำงาน แทนที่จะทำให้คนทำงานมีความสะดวก ทำงานง่ายขึ้น แต่รัฐกลับมีระเบียบที่ไปทำลายคนทำงาน แบบนี้ก็จะทำให้บุคลากรสาธารณสุขภาครัฐสมองไหลไปเอกชนมากขึ้น จากเดิมที่มีปัญหานี้อยู่แล้ว

“นอกจากกระทบหน่วยบริการภาครัฐแล้ว ที่ได้รับผลกระทบอีกคือหน่วยบริการภาคเอกชน ที่ต่อไป รพ.เอกชนคงไม่มีใครอยากเข้ามาร่วมให้บริการในระบบ 30 บาทอีก เพราะระเบียบที่วุ่นวาย จำกัดการใช้งบประมาณของหน่วยบริการ แทนที่เราจะช่วยกันดึงให้ รพ.เอกชนเข้ามาร่วมบริการในระบบมากขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่กลับมีระเบียบที่ผลักภาคเอกชนออกไป”

นายนิมิตร์ ระบุว่า นอกจากนั้น ยังห้ามจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้บุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเรื่องนี้มีปัญหามาก งานรักษาผู้ป่วย ผู้ให้บริการมีโอกาสได้รับความเสียหายได้ ที่เห็นกันบ่อยคือ รถพยาบาลประสบอุบัติเหตุ ถ้าเป็นผู้ป่วย ได้รับเงินชดเชย แต่ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินตรงนี้ แบบนี้กระทบขวัญกำลังใจคนที่ทำงานโดยสุจริต ตั้งใจทำงาน ยิ่งกว่านั้นในส่วนของเงินที่จ่ายชดเชยให้ผู้ป่วย ก็ยังจะให้ไล่เบี้ยหาผู้กระทำความผิดไปที่หน่วยบริการอีก ทั้งที่เรื่องแบบนี้เป็นเหตุสุดวิสัย แต่ก็ยังจะใช้ระเบียบที่ล้าหลังมาจัดการคนทำงาน

เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องคือ การจัดหายาและอวัยวะเทียมบางรายการที่ สปสช.เคยจัดหาผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ดำเนินการ เพราะบอกว่าไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความแบบคับแคบว่าต้องจ่ายตรงให้ผู้ป่วย ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบมากมาย

“คนส่วนใหญ่คิดว่า ก็กลับไปให้ รพ.ซื้อยาเอง ไม่เห็นเป็นไร แต่ลืมคิดไปว่า การซื้อรวมระดับประเทศ ทำให้มีอำนาจต่อรอง และได้ยาและเวชภัณฑ์ที่ราคาถูกลง ควบคุมคุณภาพและมาตรฐานได้ ที่สำคัญซื้อผ่าน อภ. และไม่ได้ซื้อยาทุกตัว แต่ซื้อเฉพาะที่จำเป็น ราคาแพง และมีปัญหาการเข้าถึง อย่างน้ำยาล้างไต ถ้าให้แต่ละ รพ.ซื้อเอง หรือแม้แต่ซื้อในระดับเขต ก็ไม่มีทางที่จะซื้อได้ในราคานี้ และส่งตรงถึงบ้านผู้ป่วยด้วย ที่สำคัญ รพ.ในระบบ 30 บาท ไม่ใช่มีแค่สังกัด สธ. มีสังกัดภาครัฐอื่น มีเอกชน เมื่อขาดการซื้อรวม สุดท้ายก็กระทบการให้บริการของ รพ. กระทบผู้ป่วย และทำให้มีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้น อภ.ที่เคยทำหน้าที่นี้ก็ต้องสูญเสียสถานะตรงนี้ไป แทนที่จะมาช่วยทำเรื่องความมั่นคงด้านยาของประเทศให้มีพลังมากขึ้น”

นายนิมิตร์ กล่าวว่า เรื่องผลการตีความนี้ ต้องบอกว่าอย่านำไปสับสนกับเรื่องการการตรวจสอบ สปสช. เป็นคนละเรื่องกัน สปสช.ก็ถูกตรวจสอบเหมือนเดิม ภาคประชาชนไม่ได้โวยวายว่าห้ามตรวจสอบ สปสช. แต่ผลการตีความนี้จะทำให้ รพ.และคนทำงานหน้างานที่รักษาพยาบาลประชาชนทำงานได้ยากขึ้น เพราะมีระเบียบภาครัฐที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงมาจับไว้ และคนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ คือ ประชาชน คือ ผู้ป่วย ส่วน สปสช.เมื่อมีระเบียบมาอย่างนี้ ก็ต้องทำตามระเบียบ แต่เรื่องนี้บอร์ด สปสช.ต้องสู้จนถึงที่สุด เพราะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน และตัวแทนผู้ให้บริการอยู่ ถ้ามีข้อใดที่ขัดขวางการทำงานของ รพ. ทำให้ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงการรักษา ต้องแก้ไข และต้องทำให้รัฐบาล คสช.ต้องแก้ไขเรื่องนี้โดยด่วน

“ต้องบอกตรงๆ ว่าตั้งแต่มีรัฐบาล คสช. ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยมีแต่เรื่องและมีปัญหาที่กระทบผู้ป่วยมาก ปากบอกว่า ของดีๆ อยู่แล้วไม่ทำลาย แต่พฤติกรรมสวนทาง และตอนนี้ก็ทำลายของดีๆ ที่สร้างกันมาไปเยอะมากแล้ว ไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้น รมว.สาธารณสุขเองก็บอกว่าไปที่ไหน ต่างประเทศก็ชม 30 บาทของไทย นายกฯ ไปที่ไหนก็ได้รับคำชมเรื่อง 30 บาท ที่เขาชมก็เพราะมีการจัดการที่ดี แต่ คสช.กำลังทำลายสิ่งที่ดีนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายผลกรรมก็ตกกับผู้ป่วย นอนรอความตาย เพราะติดปัญหาเรื่องระเบียบและคำสั่งที่ห้าม รพ.ทำโน่นนี่ แทนที่จะเอื้อให้ รพ.ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการรักษาประชาชน แต่กลับทำให้ รพ.เดือดร้อน จนทำงานไม่ได้” นายนิมิตร์ กล่าว

ทั้งนี้ มีรายงานว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาโดย นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ส่งผลการตีความการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติถึง นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ตามหนังสือที่ นร 0901/163 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 และจะมีการนำผลการตีความดังกล่าวเสนอเข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด สปสช.ในวันพรุ่งนี้ (4 ม.ค.)