ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ คุมเข้มสถานพยาบาลอุ้มบุญ 63 แห่งทั่วประเทศ กำหนดให้แพทย์ที่ให้บริการต้องมีวุฒิบัตรจากแพทยสภาหรือราชวิทยาลัย และต้องมีคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและจริยธรรม ส่วนหญิงที่รับตั้งครรภ์ต้องเคยมีบุตรมาแล้วเท่านั้น  หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-10 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-200,000 บาท

นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์หรือที่เรียกว่าอุ้มบุญ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นมา สบส. ได้ร่วมมือกับราชวิทยาลัย และสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แพทยสภา สภาการพยาบาล ดำเนินการควบคุมมาตรฐานสถานพยาบาล เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดในการให้การบำบัดรักษาช่วยให้สามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายและมีบุตรยากให้มีบุตรได้ มิให้นำไปแสวงประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง

ขณะนี้มีสถานพยาบาลที่ให้บริการอุ้มบุญ 63 แห่ง แยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ 5 แห่ง ที่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7แห่ง ที่ นครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานี ภาคใต้ 5 แห่ง ที่ สงขลา ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช ภาคตะวันออก 1แห่ง ที่ ชลบุรี และภาคกลาง 45 แห่ง ที่ กทม. นนทบุรี และปทุมธานี 

นพ.บุญเรือง กล่าวต่อว่า ขณะนี้แพทยสภา ได้ออกประกาศแพทยสภา เรื่องมาตรฐานในการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีด้านนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นมา กำหนดให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาล หรือผู้ดำเนินการสถานพยาบาลควบคุมดูแลและรับผิดชอบตาม 5 องค์ประกอบ ได้แก่

1. มีบุคลากรที่ประกอบวิชาชีพให้บริการ ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ และอื่นๆ โดยเฉพาะแพทย์ที่ให้บริการจะต้องได้รับวุฒิบัตรจากแพทยสภาหรือราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ 

2. มีสถานที่ เครื่องมือ และอุปกรณ์การแพทย์พร้อม 

3.มีคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและจริยธรรม รับผิดชอบไม่น้อยกว่า 4 คน ประกอบด้วยสูตินรีแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ พยาบาล และตัวแทนฝ่ายบริหารให้รายงานผลการประชุมต่อ สบส.ทุกปี  ในกรณีที่การตั้งครรภ์แทนและใช้ไข่บริจาคต้องผ่านความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้ทุกราย และต้องผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยการอุ้มบุญก่อน  

4. มีระบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการอุ้มบุญตามที่กำหนด ทั้ง 3 ฝ่าย คือผู้รับบริการ ผู้ตั้งครรภ์แทน ผู้บริจาคอสุจิหรือไข่ และเก็บรักษาเอกสารไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปี กรณีการรับตั้งครรภ์แทนซึ่งหญิงที่รับต้องเป็นผู้ที่เคยมีบุตรมาแล้วและเป็นสายเลือดเดียวกันกับคู่สามีหรือภรรยาที่มีบุตรยากเท่านั้น รวมทั้งการตั้งครรภ์ที่เกิดจากไข่หรืออสุจิหรือตัวอ่อนบริจาคต้องเก็บรักษาเอกสารไม่น้อยกว่า 20 ปี นับตั้งแต่วันที่เด็กคลอดและอยู่รอดเป็นทารก

5. หนังสือแสดงความยินยอม 3 ฝ่ายคือ ผู้รับบริการ ผู้ตั้งครรภ์แทน ผู้บริจาคไข่หรืออสุจิลงนามโดยสมัครใจ ให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกทางการแพทย์ และให้เก็บรักษาฝ่ายละ 1 ชุด   

นพ.บุญเรือง กล่าวต่อว่า หากตรวจพบว่าสถานพยาบาลใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 10,000 บาท-200,000 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทความผิด เช่น หากใช้แพทย์ที่ไม่มีวุฒิบัตรหรือหนังสือรับรองจากแพทยสภา หรือราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์  มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกรณีที่มีการนำอสุจิ ไข่ ตัวอ่อนหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของเซลล์ดังกล่าวใส่เข้าไปในร่างกายของสัตว์ หรือนำเซลล์สืบพันธุ์ของสัตว์ ไปใส่ในร่างกายมนุษย์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 200,000 บาท  ทั้งนี้หากสถานพยาบาลใดจะขอเปิดบริการอุ้มบุญ สามารถยื่นขอใบอนุญาตได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่สถานพยาบาลตั้งอยู่ หากอยู่ใน กทม.ยื่นขอได้ที่สำนักสถานพยาบาลและการปกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข