ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นสพ.กรุงเทพธุรกิจ : สปท.เห็นชอบชง ครม.ขึ้นภาษีน้ำอัดลม- ชาเขียวลดความเสี่ยงโรคอ้วน-ความดัน ที่ใช้งบด้านสาธารณสุขปีละมหาศาล แถมยังมีเงินเข้ารัฐปีละกว่าหมื่นล้าน

ในการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) วานนี้ (26 เม.ย.) มี นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท.คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สปท. เรื่อง"การป้องกันและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการ ในประเด็นการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินเกณฑ์มาตรฐานสุขภาพ"

โดยรายงานของคณะกรรมาธิการฯได้เสนอให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่ม อาทิ น้ำอัดลมชาเขียวกาแฟเครื่องดื่มชูกำลัง นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง น้ำผลไม้ ที่มีปริมาณน้ำตาลเกินมาตรฐานที่กำหนด โดยจัดเก็บภาษี 2 อัตรา ตามความเข้มข้นของน้ำตาลคือ ปริมาณน้ำตาลมากกว่า 6-10 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 20%ของราคาขายปลีกและปริมาณน้ำตาลมากกว่า 10 มิลลิกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 25%ของราคาขายปลีก

เพื่อให้ประชาชนลดการบริโภคเครื่องดื่มรสหวานลง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน ความดันโลหิตสูงเบาหวาน โรคหัวใจ ที่สร้างภาระให้ประเทศเสียค่าใช้จ่ายจากโรคเหล่านี้จำนวนมาก เพราะเครื่องดื่มในท้องตลาดเกือบทั้งหมด มีน้ำตาลมากกว่า 6 กรัมต่อมิลลิลิตร อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้เข้าประเทศได้มากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี

พญ.พรพันธุ์ บุญยรัตพันธ์ กมธ.ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนมาตรการที่จำเป็นต่อภาวะที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพกล่าวว่าปัจจุบันคนไทยบริโภคน้ำตาล 100 กรัม/คน/วัน ถือว่าเกินมาตรฐานสุขภาพที่กำหนดให้บริโภคน้ำตาลไม่เกิน 50 กรัมต่อคนต่อวัน ถือเป็นอันดับ 9 ของโลกที่บริโภคน้ำตาลสูงสุด เป็นการบริโภคมากเกินความจำเป็น

ทั้งนี้ปริมาณเครื่องดื่มสำเร็จรูปต่างๆที่วางจำหน่ายมีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 9-19 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ทั้งที่ค่าน้ำตาลเหมาะสมอยู่ที่ 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร จึงควรเพิ่มภาษีในเครื่องดื่มที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่มีความเสี่ยงให้เกิดโรคอ้วน และโรคที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกินมาตรฐานในอัตรา20%เป็นสิ่งที่องค์การอนามัยโรคได้ศึกษาไว้ว่า มีผลช่วยลด การบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลได้ หลายประเทศที่มีการเก็บภาษีดังกล่าวเช่น เม็กซิโก ฮังการี ก็ช่วยลดการบริโภคเครื่องดื่ม ที่มีน้ำตาลได้

ขณะที่สมาชิก สปท.หลายคนได้อภิปรายแสดงความเห็น อาทิ นายกษิต ภิรมย์ เห็นว่าควรใช้วิธีรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงการลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกินมาตรฐาน แทนการขึ้นภาษีเพราะ เป็นการผลักดันภาระให้ผู้บริโภค ส่วนนายคุรุจิต นาครทรรพ กล่าวว่า การขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ในลักษณะเช่นเดียวกับบุหรี่ สุรา เชื่อว่าคนไทยคงรับไม่ได้ และข้อมูลที่ระบุว่า ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันนั้น เป็นผลวิจัยที่มีความครอบคลุมหรือไม่ เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเหล่านี้ ไม่ได้มีผลมาจากการบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีปัจจัยอื่น เช่น อาหาร กรรมพันธุ์ ควรมีการวิจัยให้ลงลึกไปกว่านี้ เพราะถึงอย่างไรน้ำตาลยังมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต

ทั้งนี้หลังจากสมาชิก สปท.อภิปราย ครบถ้วน ที่ประชุม สปท.ลงมติเห็นชอบรายงานดังกล่าวด้วยคะแนน 153 ต่อ 2 งดออกเสียง 6 โดยให้ส่งรายงานต่อครม. เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 27 เมษายน 2559