ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

นสพ.กรุงเทพธุรกิจ :โฮจิมินห์ - สำนักงานสาธารณสุข นครโฮจิมินห์ของเวียดนามแจ้งให้โรงพยาบาลรัฐในพื้นที่เตรียมตัวต่ออิสระด้านการเงินและการจัดการ ที่จะลดเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลเหล่านี้เพื่อเพิ่มให้กับโครงการด้านสุขภาพสำหรับ ผู้มีรายได้น้อย

ขอบคุณภาพจาก : www.thanhniennews.com

ปัจจุบันโรงพยาบาลรัฐ 7 แห่งจาก 54 แห่งในนครโฮจิมินห์มีอิสระเต็มที่ในการบริการกิจการแล้ว ขณะที่อีก 44 แห่งมีอิสระบางส่วน และ 3 แห่งที่เหลือ ได้แก่ โรงพยาบาลกุมารเวช 1 แห่ง และโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อน และโรคเอดส์ 2 แห่ง ยังคงรับเงินอุดหนุนทั้งหมดจากรัฐบาล โดยนโยบายให้อิสระในการบริหารนี้น่าจะนำมาใช้ได้ภายในเดือน ม.ค. ปีหน้า

นายเจือง ถี่ ซวน เหลียว ประธานสมาคมการแพทย์นครโฮจิมินห์ และอดีตหัวหน้าสำนักงานสาธารณสุขนครโฮจิมินห์ มองว่า การรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเป็นข้อจำกัดในการพัฒนา ดังนั้นการให้อิสระโรงพยาบาลในการบริหารงานเองจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งคนไข้และโรงพยาบาล แต่รัฐบาลก็ต้องกำหนดขอบเขตเพื่อให้เกิดปัญหาน้อยที่สุดด้วย

ด้านนายแพทย์เจิ่น วัน คาญ หัวหน้าโรงพยาบาลเขต 2 กล่าวสอดคล้องกันว่า การรับเงินอุดหนุนต่อจำนวนเตียงนั้น ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล เนื่องจากต้องให้บริการด้านดูแลสุขภาพผู้ป่วยนอกด้วย

โรงพยาบาลหลายแห่ง ทั้งมีและไม่มีอิสระในการบริหาร มักระดมทุนด้วยการเปิดบริการตรวจสุขภาพและรักษานอกชั่วโมงทำงาน ซึ่งนายคาญเผยว่า รายได้จากบริการเหล่านี้นำมาจ่ายเป็นเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงแก่พนักงาน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้กำหนดให้โรงพยาบาลเหล่านี้ต้องปรับปรุงคุณภาพการให้บริการและทัศนคติของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรอื่นๆ ในการให้บริการผู้ป่วย เมื่อได้รับอิสระแล้ว ทั้งยังต้องลดขั้นตอนการบริหารและเวลารอคิวเพื่อรับคนไข้ให้ได้มากขึ้น

นายแพทย์เล ห่วง กวี๊ รองหัวหน้าโรงพยาบาลเขตบิ่ญถั่น ที่นำนโยบายอิสระในการบริหารมาใช้เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2558 กล่าวว่า โรงพยาบาลได้คิดค้นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อปรับปรุงคุณภาพ เพราะถ้าหากโรงพยาบาลไม่เปลี่ยนแปลง คนไข้ก็จะไม่มาใช้บริการ

เขากล่าวต่อไปว่า หลังโรงพยาบาลเริ่มให้บริการตรวจสุขภาพและรักษานอกเวลามาใช้ ก็มีคนไข้มาใช้บริการเพิ่มขึ้น จาก 2,000 คน เมื่อปี 2557 มาอยู่ที่ 2,400 คน เมื่อปี 2558 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3,000 คนในปีนี้ ส่วนอิสระในการบริหารก็ทำให้คนไข้ได้รับบริการที่ดีขึ้น พนักงานก็ได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้น ทั้งยังมีงบประมาณซื้ออุปกรณ์การแพทย์และสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ด้วย

ขอบคุณที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 12 กรกฎาคม 2559

เรื่องที่เกี่ยวข้อง