ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

กระทรวงสาธารณสุข เตรียมความพร้อมของหน่วยบริการทางการแพทย์ทุกแห่งดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง ในห้วงเวลาสำคัญ 3 วันนี้ เปิดศูนย์วิกฤติสุขภาพจิตและศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ทั้งส่วนกลางและระดับจังหวัด รายงานสถานการณ์ เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ทำงานใกล้ชิด พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนให้กำลังใจซึ่งกันและกันเปลี่ยนความเศร้าโศกให้เป็นพลังในการทำความดีถวายพระองค์ท่าน

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ผู้บริหารประชุมทางไกล ผ่านระบบวิดีโอ กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ  ชี้แจงแนวการเฝ้าระวังและดูแลประชาชนในสถานการณ์ช่วงนี้ ว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มีความห่วงใยประชาชน ให้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมหน่วยบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกแห่งดูแลประชาชนที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจในเวลานี้อย่างเต็มที่ ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นพิเศษในห้วงเวลาสำคัญ 3 วันนี้

โดยในวันนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการ ดังนี้

1.เปิดศูนย์วิกฤติสุขภาพจิตและศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในส่วนกลางและทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมรายงานผลการปฏิบัติงาน

2.จัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจในเวลานี้อย่างเต็มที่ ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นพิเศษในห้วงเวลาสำคัญ 3 วันนี้ โดยเฝ้าระวังเป็นพิเศษในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ผู้ที่อยู่ในพื้นที่พิเศษ เช่น พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของโครงการในพระราชดำริ เพื่อเตรียมความพร้อมและป้องกันไม่ให้ประชาชนเกิดภาวะเครียด สามารถจัดการความเศร้าโศกและความเครียดได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังได้เน้นย้ำการเสริมสร้างขวัญกำลังใจของประชาชน ส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นพลังในการทำความดี ประชาชนสามารถขอคำแนะนำ ปรึกษาสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 

3.ให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการจัดสถานที่ สมุดลงนามตามรูปแบบประเพณี เพื่อให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้ที่มาใช้บริการ ร่วมถวายความอาลัย จัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลถวาย ทำบุญตามศาสนา สนับสนุนกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ในพื้นที่เพื่อเป็นศูนย์ร่วมจิตใจของประชาชน

4.ให้โรงพยาบาลในสังกัดในกรุงเทพและปริมณฑลทุกแห่งร่วมกับกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และจุดปฐมพยาบาลเพื่อดูแลประชาชนตลอดเส้นทางที่เคลื่อนพระบรมศพ

“ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนทุกคนได้ปลดปล่อยความเศร้าโศก แล้วเปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นพลัง ให้กำลังใจกันและกัน ใช้ความรักและความสามัคคีในการเสริมสร้างความเข้มแข็งผ่านการร่วมจัดกิจกรรม เพื่อแสดงออกถึงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินตามพระราชปณิธาน และทำความดีถวายพระองค์ท่านเป็นพระราชกุศลอย่างต่อเนื่อง” นพ.โสภณ กล่าว