ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สสส.ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล เปิดตัวนวัตกรรมด้านกิจกรรมทางกาย “FeelFit®” เครื่องวัดกิจกรรมทางกาย ช่วยกระตุ้นมีกิจกรรมทางกาย ลดเนือยนิ่ง วัดผลแม่นยำ สอดคล้องตามหลักสากล ต่อยอดวัดผลจากการแกว่งแขน 1 ชม.ลด 220 แคลอรี่

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล  และภาคีเครือข่าย จัดงานแถลงข่าว เปิดตัวนวัตกรรมด้านกิจกรรมทางกาย ในหัวข้อ “FeelFit®” ThaiHealth Innovative Equipment for Physical Activity ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวและความพร้อมในด้านวิชาการของคนไทย ที่สามารถพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยในการวัดการมีกิจกรรมทางกายทีแม่นยำและสอดคล้องตามหลักสากล 

นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอ (Physical Inactivity) เป็น 1 ใน 4 ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การเจ็บป่วยและสูญเสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable Diseases, NCDs) สำหรับในประเทศไทยนั้น การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึง 11,129 ราย ใน พ.ศ. 2552  ขณะที่การมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง (Sedentary Behavior) ของคนไทยมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลจากการสำรวจในปี 2555 พบว่า คนไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งต่อวันถึง 13:25 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นเป็น 13:42 ในปี 2557 และเพิ่มขึ้นเป็น 13.54 ในปี พ.ศ.2558 

โดยพฤติกรรมเนือยนิ่ง 4  อันดับแรกของคนไทยที่ทำติดต่อกันนานกว่า 1 ชั่วโมงต่อครั้ง คือ นั่ง/นอนดูโทรทัศน์ นั่งคุย/นั่งประชุม,นั่งทำงาน/นั่งเรียนและนั่งเล่นเกม โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของสัดส่วนผู้ที่มีภาวะอ้วนและอ้วนลงพุง คือจากร้อยละ 28.7 ในปี 2547เป็นร้อยละ 34.7 ในปี 2557

ดังนั้น สสส.จึงกำหนดยุทธศาสตร์การทำงาน 2 เพิ่ม 1 ลด คือ เพิ่มโอกาสให้คนทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม เพิ่มปัจจัยแวดล้อมและพื้นที่สุขภาวะที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย และลดช่วงเวลาของการมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง

ด้าน ผศ.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การวัดการมีกิจกรรมทางกาย ยังมีข้อจำกัดในเรื่องวิธีการได้ข้อมูล เนื่องจากเดิมเป็นการใช้แบบสอบถาม หรือบางครั้งใช้อุปกรณ์วัดทางกายภาพอื่นๆ เช่น เครื่องนับจำนวนก้าวเดินที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ซึ่งในแง่มุมของข้อมูลเชิงตัวเลขอาจไม่เที่ยงตรง ดังนั้น สสส.และคณะวิศกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงพยายามคิดค้นเครื่องมือในการวัดกิจกรรมทางกายที่สามารถเกาะติดชีวิตประจำวันของคนได้จริง อันจะมีส่วนช่วยในการกำหนดทิศทางนโยบายและ สร้างแนวทางในการปฏิบัติได้อย่างสอดคล้องกับการมีกิจกรรมทางกายของคนไทย  

โดยเริ่มจากการศึกษาวรรณกรรมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการศึกษาและเก็บข้อมูลเพื่อการวิจัยกิจกรรมทางกายของคนไทย จนเกิดเป็นการบูรณาการความรู้ของหลักการทางวิทยาศาสตร์, การแพทย์ และวิศกรรมศาสตร์ ทำให้สามารถนำองค์ความรู้ดังกล่าวมาออกแบบเครื่องมือในการวัดกิจกรรมทางกาย ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่ให้ผลได้แม่นยำขึ้น จนเกิดเป็นเครื่อง FeelFit® ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องช่วยวัดการมีกิจกรรมทางกายเท่านั้น แต่ตัวเครื่องยังสามารถช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการมีกิจกรรมทางกายที่เพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้เพื่อให้เป็นไปตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO recommendations) ที่แบ่งระดับการมีกิจกรรมทางกาย 3 ระดับ ตามค่าอัตราการสังเคราะห์พลังงาน ในขณะทำกิจกรรม เมื่อเทียบกับอัตราการสังเคราะห์พลังงานขณะพัก คือ ระดับเบาระดับปานกลาน และระดับหนัก

นายเจษฎา อานิล ภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เครื่อง FeelFit®  ใช้วิธีการวัดอัตราการเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อคำนวณหาอัตราการใช้พลังงานจากการใช้ออกซิเจนเทียบกับน้ำหนักตัว โดยแบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ ระดับเนื่อยนิ่ง (Sedentary) เช่น กิจกรรมอ่านหนังสือ การนั่งพักผ่อน ระดับเบา เช่น การเดิน ระดับปานกลาง เช่น การเต้นแอโรบิค การวิ่งจ๊อกกิ้ง การแกว่งแขน และระดับหนัก เช่น การเล่นกีฬาประเภทต่างๆ เช่น ฟุตบอล เทนนิส แบตบินตัน  

เครื่อง FeelFit® เป็นนวัตกรรมที่ไม่เหมือนเครื่องวัดประเภทอื่นๆ เพราะเป็นเครื่องที่วัดเทียบกับการมีกิจกรรมทางกายจริงๆ และยังสามารถแสดงผลได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ระดับของกิจกรรมทางกาย, ปริมาณการเผาผลาญพลังงาน (แคลลอรี่), จำนวนก้าวเดินและระยะทาง, และเวลาในการใช้งานตัวเครื่อง ทำให้สามารถติดตามพฤติกรรมการมีกิจกรรมทางกายของเราได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งไม่ใช่แค่การนับก้าวเหมือนเครื่องที่มีอยู่ในท้องตลาด จึงทำให้เราเห็นว่าเรามีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากน้อยแค่ไหน โดยในปัจจุบัน มีการพัฒนาเทคนิคการตรวจวัดและวิเคราะห์จนสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น เช่น กิจกรรมแกว่งแขน (Arm Swing Activity Tracker) และการปั่นจักรยาน (Bicycling Activity Tracker)

นายภาคภูมิ ไข่มุก คณะบริหารธุรกิจ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า จากความสำเร็จในการ พัฒนาเครื่อง FeelFit® เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยตามติดการใช้กิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวันอย่างแม่นยำ ทางคณะวิจัยจึงได้ต่อยอดโดยการนำเครื่อง  FeelFit® : Arm Swing Activity Tracker มาเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิจัยตรวจวัดการแกว่งแขนของคนทุกช่วงวัย เป้าหมายเพื่อตรวจหาจำนวนแคลอรี่ที่ใช้จริงในการแกว่งแขน จังหวะความเร็ว จำนวนครั้งที่เหมาะสมของการแกว่งแขน และตรวจหาความสัมพันธ์ระหว่างการแกว่งแขนกับการถ่ายน้ำหนักที่ฝ่าเท้าอย่างถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากเครื่อง Arm Swing Activity Tracker มีความแม่นยำในการแสดงผลการใช้พลังงาน ซึ่งพบว่า การแกว่งแขน 1 ชั่วโมง ช่วยเผาผลาญพลังงานได้ถึง 220 แคลอรี่ จึงสามารถนำมาใช้ในเชิงการจัดการสุขภาพ โดยสนับสนุนการรณรงค์ได้ในระดับนโยบาย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มทางเลือกสำหรับการมีกิจกรรมทางกายที่ทำได้ง่าย ทำได้ทุกสถานที่ ไม่ยุ่งยาก เหมาะกับทุกช่วงวัย