ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อดีตรักษาการเลขาธิการ สปสช.ชี้ แก้ พ.ร.บ.30 บาท จะสร้างความขัดแย้ง เพิ่มปัญหาให้นายกฯ เพราะประชาชนไม่มีส่วนร่วมแต่แรก ระบุร่าง พ.ร.บ.ผ่านการแก้ไขจากคณะกรรมการริดรอนสิทธิการเข้าถึงบริการสาธารณสุข อาจถึงกับทำให้ระบบ 30 บาทอยู่ในอันตรายได้

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ อดีตรักษาการเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดด้วยความเป็นห่วงว่าหลังแก้ไขแล้ว ประชาชนจะได้รับประโยชน์มากขึ้นจริงหรือไม่ หน่วยบริการขนาดเล็กทั้งของรัฐและเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินับหมื่นแห่งในพื้นที่ จะได้รับการแก้ไขปัญหาทางการเงินและกำลังคนที่ขาดแคลนได้จริงหรือ และรัฐบาลจะสามารถควบคุมงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้พอเหมาะผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพไม่ให้บานปลายเหมือนสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการได้หรือไม่ หรือยิ่งแก้กฎหมายจะยิ่งเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพิ่มความขัดแย้งของคนในสังคม และสร้างปัญหาทางการเมืองให้นายกรัฐมนตรีต้องแก้ไขมากขึ้น

นพ.ประทีป เปิดเผยต่อว่า พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ที่ใช้อยู่นี้ และเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้า คสช.ปี 2559 เกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชน นักวิชาการในและนอกกระทรวงสาธารณสุข ที่ค่อยๆ พัฒนามาหลายปี ทดลองต่อยอดจากจุดแข็งของระบบสาธารณสุขของไทย และจัดระบบให้มีการถ่วงดุลระหว่างหน่วยบริการหรือผู้จัดบริการ และประชาชนหรือผู้ใช้บริการสาธารณสุข จัดระบบให้มีการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินและการจัดบริการสาธารณสุขที่มีการประเมินการใช้เทคโนโลยี ยาราคาแพง ที่เหมาะสมคุ้มค่าเงิน เพื่อรองรับสังคมข้างหน้า ทำให้ระบบสาธารณสุขของไทยมีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ประชาชนได้ประโยชน์มากขึ้น รัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณด้านสุขภาพในภาพรวมมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างให้การยอมรับและชื่นชมความสำเร็จของไทย และเอาเป็นตัวอย่าง แต่การแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ครั้งนี้ มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างน้อย 3 ประการดังนี้

1.การแก้ไข พ.ร.บ.ในครั้งนี้ที่ทำกันอย่างรวบรัด ทำจริงๆ เมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ 27 คนที่มี รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ เป็นประธานและประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่เพิ่งผ่านมา และมีลักษณะปิดลับ เพิ่งเปิดเผยว่ามี 14 ประเด็นที่จะแก้ไขเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมนี้เอง จึงขาดการมีส่วนร่วมกำหนดประเด็นการแก้ไขแต่แรกจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจขัดกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กำหนดให้การแก้ไขหรือออก พ.ร.บ.ใหม่ๆ ต้องผ่านกระบวนการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียอย่างกว้างขวาง จึงมีปัญหาความชอบธรรมของการยกร่างแก้ไข พ.ร.บ. และอาจสร้างปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้อย่างกว้างขวาง

2.มีการเพิ่มเติมประเด็นการแก้ไขอีกหลายประเด็นนอกเหนือจากที่หัวหน้า คสช.ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งชั่วคราวทำให้เกิดความชัดเจนของ พ.ร.บ. มากขึ้น ทำให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรวมทั้ง สปสช.สามารถบริหารกองทุนให้เป็นประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่ได้มากขึ้น และมอบให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ.ตามประเด็นในคำสั่งของหัวหน้า คสช.ดังกล่าว แต่ 14 ประเด็นที่ยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมส่วนใหญ่เป็นการดึงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพที่จากเดิมเป็นเรื่องของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มาจากหลายภาคส่วนในสัดส่วนที่ถ่วงดุลกัน ดึงกลับไปเพิ่มอำนาจให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยบริการในสังกัดมากขึ้น ซึ่งจะเกิดปัญหาเรื่องประโยชน์ทับซ้อน ผิดหลักการและเจตนารมณ์ใหญ่ของกฎหมายเดิม

3.ขณะที่ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปเพื่อสร้างความยั่งยืนทางการเงินการคลัง และความเท่าเทียมในระบบประกันสุขภาพที่สรุปจากการรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์ทางวิชาการและความเห็นจากส่วนได้เสียต่างๆ จนได้ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เป็นที่รู้จักกันทั่วว่า ข้อเสนอ SAFE ของคณะทำงานวิชาการที่มี ศ.ดร.อัมมาร สยามวาลา และอีกคณะหนึ่งที่มี ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุลเป็นประธาน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นเอง และให้สัมภาษณ์กับสังคมหลายครั้งว่าเป็นข้อเสนอที่จะใช้ในการปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น แต่การแก้ไข พ.ร.บ.ในครั้งนี้กลับไม่ได้ถูกนำมาใช้อยู่ในประเด็นการแก้ไขทั้ง 14 ประเด็นเลย จึงทำให้ทิศทางการแก้ไขไม่ชัดเจนว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร และเป็นการปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพของประเทศให้ดีขึ้นได้ตามที่นายกรัฐมนตรีได้พูดและสัญญากับประชาคมโลกในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติและสัญญากับประชาชนไทยในรายการทุกเย็นวันศุกร์ได้อย่างไร ทำให้เกิดปัญหาความน่าเชื่อถือทางการเมืองกับนายกรัฐมนตรีได้

“การแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ และเกี่ยวกับระบบบริการสาธารณสุขทั้งหมด รวมทั้งเกี่ยวกับการใช้งบประมาณของแผ่นดินแสนกว่าล้านบาทต่อปี เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทำอย่างรอบคอบ ต้องเน้นให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ต้องใช้ข้อมูลทางวิชาการที่เป็นที่ประจักษ์ยอมรับในทางสากล และต้องใช้ความรับผิดชอบทางการเมืองที่มีจริยธรรมสูงส่ง จึงจะสำเร็จเป็นประโยชน์กับประเทศโดยรวม ตรงข้ามถ้าใช้วิธีลักหลับ ใช้อำนาจฉวยโอกาสอย่างรีบเร่ง ดังแต่จะสร้างความขัดแย้งในสังคม และสร้างปัญหาให้รัฐบาลเพิ่มมากขึ้น” นพ.ประทีป กล่าว