ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอวางกรอบส่งเสริมการลงทุนด้านสุขภาพ ‘ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง-กิจการสถานพยาบาล’ เน้นสาขาขาดแคลน ย้ำต้องเกิดประโยชน์ต่อพื้นที่ห่างไกล ยากจน หรือชายแดน พื้นที่รายได้ต่ำ – 4 จังหวัดชายแดนใต้ และต้องมีแผนจัดหาบุคลากรทางการแพทย์ชัดเจน หวั่นปัญหาการแย่งบุคลากร

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2560 รับทราบและชื่นชมการทำงานร่วมกันของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้พัฒนาข้อเสนอต่อมาตรการสนับสนุนการลงทุนเพื่อส่งเสริมการบริการสาธารณสุข ซึ่งเป็นโจทย์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ โดยการทำงานร่วมกันนี้ ได้นำหลักการด้านการเงินการคลังด้านสุขภาพของ ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2559 ที่กำหนดว่า “การลงทุนด้านสุขภาพต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสุขภาพในภาพรวม ทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงความมั่นคงด้านสุขภาพและประสิทธิภาพของการลงทุน” เป็นหลักสำคัญ และนำการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการพัฒนาข้อเสนอที่มีข้อมูลทางวิชาการรองรับ เพื่อให้การลงทุนด้านบริการสุขภาพเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ทำให้คนไทยโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล รายได้ต่ำ สามารถเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ รวมถึงก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า หนุนเสริมและไม่ซ้ำซ้อนกับการลงทุนที่มีอยู่แล้วของภาครัฐ

สช. บีโอไอ และกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกันจัดทำข้อมูลทางวิชาการ โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่มีการเจ็บป่วย มีความจำเป็นด้านสุขภาพสูง มีอัตราการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษานอกเขตพื้นที่สูง พื้นที่ที่อยู่ห่างไกล และพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาล พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ พิจารณาข้อมูลจำแนกรายเขตสุขภาพ โดยข้อเสนอฯ นี้ ได้ถูกนำเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแล้ว

สาระสำคัญของข้อเสนอต่อมาตรการสนับสนุนหรือส่งเสริมการบริการสาธารณสุขในระดับศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง (Excellence center) มีเงื่อนไขคือ ควรพิจารณาให้การสนับสนุนใน

(1) เขตบริการสาธารณสุขที่ไม่มีแผนการลงทุนด้านสุขภาพในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ของกระทรวงสาธารณสุขหรือภาคเอกชน หรือ (2) เขตบริการสาธารณสุขที่มีแผนการลงทุนฯ อยู่ในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพแล้ว แต่ยังไม่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล หรือ (3) เขตบริการสาธารณสุขที่มีการส่งต่อผู้ป่วยในเรื่องนั้นๆออกนอกพื้นที่ หรือ (4) เขตพื้นที่เฉพาะพิเศษ/เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยต้องคำนึงถึงความพร้อมของบุคลากรที่จะไปปฏิบัติงาน และสถานบริการที่ได้รับการส่งเสริมต้องให้บริการประชาชนในระบบประกันสุขภาพภาครัฐโดยไม่เลือกปฏิบัติ

ต่อมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาและออกประกาศ เรื่อง นโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านการบริการทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ใน 4 กิจการ ได้แก่

1.กิจการบริการสาธารณสุขด้านแพทย์แผนไทย

2.กิจการศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง

3.กิจการสถานพยาบาล ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เฉพาะเพื่อกระจายการให้บริการอย่างทั่วถึงสำหรับประชาชนในพื้นที่ห่างไกลใน 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ หรือใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้และในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

4.กิจการบริการขนส่งผู้ป่วย แพทย์ หรืออุปกรณ์การแพทย์ ทั้งทางอากาศ ทางบก เรือ

เงื่อนไขการสนับสนุนประเภทกิจการ “ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง” ได้นำข้อเสนอจากการทำงานร่วมกันของ สช. บีโอไอ กระทรวงสาธารณสุข ไปปรับใช้ โดยให้ส่งเสริมการลงทุนเฉพาะสาขาที่ขาดแคลน ได้แก่ ด้านหัวใจ (โรคหลอดเลือดหัวใจ ผ่าตัดหัวใจ และหัวใจล้มเหลว) ด้านมะเร็ง (เคมีบำบัด รังสีวิทยา) และด้านไต (ศูนย์ไตเทียม) โดยระบุเงื่อนไขว่า ต้องมีแผนการจัดหาบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสม มีเครื่องมือและอุปกรณ์ตามที่คณะกรรมการกำหนด ต้องได้รับอนุญาตและปฏิบัติตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข มาตรฐานการประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องพิจารณาถึงการกระจายการให้บริการและการเข้าถึงของประชาชน

ส่วนการส่งเสริม "กิจการสถานพยาบาล" นั้น ระบุเงื่อนไขพื้นที่ที่จะขอรับการส่งเสริมตามข้อเสนอ คือ พื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ พื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา-เฉพาะ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย เทพา) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

“การดำเนินการในกรณีนี้ เป็นรูปธรรมความสำเร็จของการนำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ และหลักการของการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ ไปปรับใช้ประโยชน์ให้เกิดระบบสุขภาพพึงประสงค์ที่ทุกฝ่ายยอมรับ ให้รัฐและเอกชนมีบทบาทเกื้อหนุนกันในการบริการสุขภาพ ไม่มุ่งแต่ภาพรวมทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังเอื้อต่อสุขภาวะที่ดีของคนไทยด้วย” พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว