ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

สธ.รณรงค์วันหัวใจโลก เชิญชวนประชาชนร่วมแบ่งปันพลังใจแก่ผู้อื่น โดยการบริโภคอาหารและน้ำที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และงดสูบบุหรี่ เพื่อสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง หลังข้อมูลในปี 2559 มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจกว่า 2 หมื่นราย และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องในวันที่ 29 กันยายนของทุกปี กำหนดให้เป็นวันหัวใจโลก กระทรวงสาธารณสุข จึงขอเชิญชวนประชาชนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ เพื่อป้องกันโรคหัวใจ หลังองค์การอนามัยโลก พบว่าปี 2555 ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ 7.4 ล้านคน สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2555-2559 พบว่า คนไทยมีแนวโน้มการเจ็บป่วยและตายด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มสูงขึ้น เฉพาะปี 2559 มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 21,008 ราย

สำหรับปี 2560 นี้ สมาพันธ์หัวใจโลกได้กำหนดคำขวัญในการรณรงค์ว่า “Share the power” หรือ“แบ่งปันพลังใจ” คือร่วมกันแบ่งปันวิธีสร้างพลังใจ และบันดาลใจให้แก่ผู้อื่น เพื่อเพิ่มพลังให้ชีวิต (Power Your Life) มีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง มุ่งเน้นรณรงค์ในทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือ กลุ่มโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีภาวะอ้วน สูบบุหรี่ และไขมันในเลือดสูง โดยประเด็นในการรณรงค์ 3 ข้อ คือ

1.Fuel your heart เติมพลังให้หัวใจ บริโภคอาหารและน้ำ ช่วยเติมพลังให้หัวใจคุณแข็งแรงโดยลดอาหาร หวาน มัน เค็มจัด (น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา,น้ำมันไม่เกิน 6 ช้อนชา,เกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา) เพิ่มผักสดและผลไม้ที่ไม่หวานจัด ลดการดื่มแอลกอฮอล์

2.Move your heart ออกกำลังกายให้หัวใจขยับอย่างน้อย 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำตัวให้กระฉับกระเฉงเสมอ

3.Love your heart รักหัวใจ งดสูบบุหรี่เป็นสิ่งเดียวที่ดีที่สุด ที่สามารถทำได้ เพื่อสุขภาพหัวใจ

นพ.เจษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมควบคุมโรคสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงบริการประเมินโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 2 ช่องทาง คือ ประเมินโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในสถานบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ หรือประเมินโดยตนเองผ่าน Application : Thai CV Risk Calculator หากพบระดับความเสี่ยงตั้งแต่ 30% ขึ้นไป แนะนําให้ไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มข้น รีบด่วนและจัดการปัจจัยเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที

หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422